( (( )) )
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ระดับการโกงที่ยอมรับได้ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ระดับการโกงที่ยอมรับได้ แสดงบทความทั้งหมด

6 พฤศจิกายน 2555

“ศีลธรรม” สำคัญอย่างไร? (ตอนที่ ๒ – กับสังคมของเรา)

จากบทความในตอนที่ ๑ ให้ข้อสรุปว่า ระดับการโกงของคนเราอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งจูงใจทางเศรษฐศาสตร์ เพราะแต่ละคนจะมีระดับการโกงที่ยอมรับได้ (Personal Fudge Factor) ของตนเอง และระดับการโกงที่ว่านั้นขึ้นอยู่กับความใกล้ชิดกับศีลธรรม และความห่างเหินจากตัวเงินที่แท้จริง

Ariely ขยายการทดลองต่อไป เพื่อพิจารณาผลกระทบต่อสังคม โดยมีนักเรียนกลุ่มใหญ่มาร่วมการทดลอง และ Ariely ก็จ่ายค่าจ้างพวกเขาล่วงหน้า ทุกคนจะได้รับซองที่ใส่เงินทั้งหมดที่พวกเขามีโอกาสจะได้รับ ซึ่งจะขอถูกให้จ่ายคืนในตอนท้ายเท่าจำนวนข้อที่พวกเขาแต่ละคนทำไม่ได้

ผลที่ได้ในตอนเริ่มต้นไม่ต่างจากเดิม ถ้าเราให้โอกาสเขาโกง เขาก็โกง พวกเขาโกงเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็โกงไม่ต่างจากตอนแรก แต่ในการทดลองนี้ Ariely จ้างนักศึกษาคนหนึ่งมาเป็นหน้าม้า โดยหน้าม้าจะยืนขึ้นหลังจากสามสิบวินาทีผ่านไป [มีเวลาทำโจทย์ห้านาที] แล้วพูดว่า “ผมทำได้ครบทุกข้อแล้ว ผมต้องทำอะไรต่อ?” ผู้วิจัยก็จะพูดว่า “ถ้าคุณทำเสร็จแล้ว กลับบ้านได้เลย” ก็เท่านั้น จบภารกิจ ดังนั้น คราวนี้การทดลองจะมีนักศึกษาหน้าม้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม โดยไม่มีใครรู้ว่าเขาคือหน้าม้า และเขาก็โกงกันชัดๆ หน้าด้านๆ แบบที่ไม่น่ายอมรับได้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับคนอื่นๆ ในกลุ่ม? เขาจะโกงเพิ่มขึ้นหรือลดลง?

……….

ต่อไปนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นและน่าสนใจมาก เพราะ Ariely บอกว่า “ที่จริงแล้ว คำตอบขึ้นอยู่กับว่า เขาใส่เสื้ออะไร”

รายละเอียดก็คือ การทดลองทำขึ้นที่รัฐพิตต์สเบอร์ก (Pittsburgh) ซึ่งมีมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่อยู่สองแห่งคือ คาร์เนกี้ เมลลอน (Carnegie Mellon University) และพิตต์สเบอร์ก (University of Pittsburgh)

เมื่อผู้เข้าร่วมการทดลองทุกคนเป็นนักศึกษาของคาร์เนกี้ เมลลอน ถ้าหน้าม้า(ที่โกง)ยืนขึ้นที่ใส่เสื้อว่าเป็นนักศึกษาของคาร์เนกี้ เมลลอน เขาก็คือส่วนหนึ่งของกลุ่ม การโกงก็จะเพิ่มขึ้นทันที แต่ถ้าหน้าม้าใส่เสื้อของพิตต์เบอร์ก การโกงจะกลับลดลง

เรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะเมื่อนักศึกษาที่เป็นหน้าม้ายืนขึ้นแล้วโกง มันเหมือนกับการบอกกับทุกคนอย่างชัดเจนเลยว่าคุณสามารถโกงได้ เพราะผู้วิจัยบอกว่า “คุณทำทุกอย่างเสร็จแล้ว กลับบ้านได้” และพวกเขาก็กลับไปพร้อมกับเงินที่โกง มันไม่เกี่ยวกับโอกาสที่จะถูกจับได้แล้ว แต่มันเป็นเรื่องบรรทัดฐานของการโกง ถ้าบางคนในกลุ่มของพวกเราโกง และเราเห็นเขาโกง เราจะรู้สึกว่ามันเป็นพฤติกรรมที่กลุ่มเราทำได้ แต่ถ้าคนๆ นั้นมาจากกลุ่มอื่น เราจะไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุคคลที่เลวร้ายพวกนี้ เพราะเขามาจากมหาวิทยาลัยอื่น จากกลุ่มอื่น จากที่อื่น คนก็จะตระหนักในเรื่องความซื่อสัตย์เพิ่มขึ้นทันที แล้วคนก็โกงจะน้อยลง

……….

ผลการทดลองของ Ariely สอดคล้องกับงานเขียนของ Adam Smith บิดาของสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่อง The Theory of Moral Sentiments (1759) ในบทที่ 5 ว่าด้วย อิทธิพลของการกระทำอันเป็นกิจวัตร (Customs) กับการกระทำที่เป็นแฟชั่น (Fashions) ที่ส่งผลต่อความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคนในสังคม

สมิธชี้ให้เห็นว่า การที่สังคมจะตัดสินว่าสิ่งใดถูกหรือผิด ชั่วหรือดี เหมาะสมหรือไม่นั้น มักจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่คนในสังคมเคยพบเห็นมาในอดีต อาทิเช่น เมื่อเราเห็นคนหนึ่งที่ใส่สูทอย่างเป็นทางการไปงานศพ แต่สูทที่เขาใส่เป็นสีส้ม เราคงรู้สึกว่าคนนี้กำลังทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม ทั้งที่เขากำลังเสียใจอย่างสุดซึ้ง(มากกว่าคนใส่สูทสีอื่นอีก) หากลองนึกดีๆ การใส่สูทสีส้มไปงานศพไม่ใช่สิ่งที่ผิดอะไร และการที่เขาใส่เช่นนั้นก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย แต่การที่เรารู้สึกว่าเขาทำไม่ถูกต้องนั้นไม่ได้มีเหตุผลอะไร นอกเสียจากการที่เราเห็นสูทสีดำในงานศพเสมออย่างเป็น”กิจวัตร”เท่านั้นเอง

ตัวอย่างที่สมิธยกขึ้นมาก็คือ ในสมัยกรีกโบราณที่มีความศิวิไลซ์ที่สุด สังคมกรีกในสมัยนั้นยอมรับต่อสิทธิของพ่อแม่ในการฆ่าเด็กทารกที่เพิ่งคลอดออกมาว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หากว่าเมื่อคลอดออกมาแล้วพ่อแม่ไม่มีความสามารถเลี้ยงดูได้ หรือทารกที่คลอดออกมานั้นมีความพิการทางร่างกาย ทำให้ไม่อาจดูแลตัวเองได้เมื่อโตขึ้น การกระทำที่แสนโหดร้ายที่กระทำต่อเด็กผู้บริสุทธิ์และไม่มีทางสู้นั้นกลับเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ อันเนื่องมาจากการเป็นกิจวัตรของสังคม

……….

ขณะที่ “แฟชั่น” ซึ่งหมายถึงการกระทำโดยชนชั้นนำหรือบุคคลต้นแบบของสังคม ที่แม้จะดูตลกขบขันหรือแตกต่างจากกิจวัตรจนไม่น่าจะรับได้ แต่หากผู้ที่นำเสนอแฟชั่นเป็นชนชั้นนำหรือบุคคลต้นแบบของสังคม การกระทำดังกล่าวก็จะกลายเป็นการกระทำที่ดูทันสมัยและน่าสนใจขึ้นมาทันที ซึ่งแฟชั่นเองก็สามารถชี้นำพฤติกรรมของคนในสังคมได้เช่นกัน

อาทิเช่น ในสมัยของกษัตริย์ชาร์ลส์ที่สอง (Charles II) ที่มีชื่อเสียงในเรื่องความมักมากในกาม ได้ทำการอุปการะเลี้ยงดูเด็กผู้หญิงไว้มากมาย กลับได้รับคำชื่นชมจากสังคมว่าเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเมตตาและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ขณะที่คนยากจนซึ่งทำงานอย่างหนัก แต่ก็ยังมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ กลับถูกมองว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวและคิดแต่เรื่องของตนเอง

หรือแม้แต่การแต่งตัวที่ดูแปลกประหลาด ซึ่งก็จะถูกยอมรับได้จากสังคมและกลายเป็นแนวปฏิบัติใหม่ของสังคมก็จะเกิดจากชนชั้นนำหรือบุคคลต้นแบบของสังคมเช่นกัน

สมิธพยายามชี้ให้เห็นว่า ชนชั้นนำ บุคคลต้นแบบ หรือผู้นำของสังคมจึงมีอิทธิพลในการสร้างแฟชั่นให้กับสังคม ไม่น้อยไปกว่ากิจวัตรที่เป็นอยู่ของสังคม นั่นหมายความว่า พวกเขามีส่วนในการเสริมสร้างบรรทัดฐาน(อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของคนบางกลุ่ม)ในสังคม ซึ่งสอดคล้องกับข้อสรุปของ Ariely ที่ว่าหากคนที่โกงเป็นพวกเดียวกับเรา เป็นผู้นำของเรา เราย่อมคิดว่าการโกงเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่หากผู้ที่โกงไม่ใช่พวกของเรา ไม่ใช่ผู้นำของเรา เราจะไม่อาจยอมรับมันได้ และนี่คงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่สนับสนุนว่า ทำไมสังคมจึงต้องการคุณธรรมของผู้นำในระดับที่สูงกว่าคนทั่วไปนั่นเอง

“ศีลธรรม” สำคัญอย่างไร? (ตอนที่ ๑ – กับตัวเราเอง)

เศรษฐศาสตร์ดูจะห่างเหินจากการนำเอา “ศีลธรรม” เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ Dan Ariely นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม จะช่วยให้เรารู้ว่าทั้งโอกาสที่จะถูกจับได้ และผลได้จากการโกงอาจไม่มีผลต่อการตัดสินใจโกงเลยก็เป็นได้

………. หากจะกล่าวถึงการทุจริต หรือการโกง แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ที่ถือเป็นมาตรฐานตลอดมาก็คือ การวิเคราะห์ต้นทุน-ผลได้ของการก่ออาชญากรรม ซึ่งสามารถนำเสนออย่างง่ายๆ ได้ว่า

หาก ผลได้ของการก่ออาชญากรรม > (โอกาสที่จะถูกจับได้ x โทษที่จะได้รับ) → คนก็จะก่ออาชญากรรม แต่หาก ผลได้ของการก่ออาชญากรรม < (โอกาสที่จะถูกจับได้ x โทษที่จะได้รับ) → คนก็จะไม่ก่ออาชญากรรม

เมื่อเรามองว่าการทุจริตหรือการโกงเป็นรูปแบบหนึ่งของการก่ออาชญากรรม เราจึงนำเอาแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้ แนวทางแก้ไขตามนัยยะทางเศรษฐศาสตร์ก็คือ การเพิ่มโอกาสที่จะถูกจับได้ (เช่น สร้างระบบที่โปร่งใส อาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วย มีการตรวจสอบอย่างรัดกุม) และการเพิ่มโทษที่จะได้รับ (เช่น ออกกฎมายที่รุนแรงขึ้น ตัดสินคดีอย่างรวดเร็วขึ้น)

……….

เมื่อไม่นานมานี้ Dan Ariely นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมชื่อดังของโลก ตั้งข้อสงสัยถึงความมีเหตุมีผลต่อการโกง ว่ามันมีเหตุมีผลตามตรรกะที่แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับการก่ออาชญากรรมว่าไว้จริงหรือไม่

เขาเริ่มต้นโดยออกแบบการทดลองง่ายๆ โดยแจกกระดาษให้ผู้เข้าร่วมการทดลองคนละหนึ่งแผ่น กับโจทย์เลขง่ายๆ 20 ข้อที่แก้ได้อย่างแน่นอน แต่ผู้ร่วมการทดลองจะมีเวลาสั้นมากๆ เพียงห้านาทีเท่านั้น แบบที่ไม่มีทางทำทันได้ครบทุกข้อ เมื่อเวลาหมดลง เขาจะบอกผู้ร่วมการทดลองว่า “คืนกระดาษให้ผม แล้วผมจะจ่ายคุณข้อละหนึ่งดอลลาร์” สุดท้ายแล้วเขาจ่ายประมาณสี่ดอลลาร์ต่อคน ซึ่งก็คือ โดยเฉลี่ยผู้เข้าร่วมการทดลองแต่ละคนทำได้ 4 ข้อ

กับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีคุณสมบัติเฉลี่ยของทั้งกลุ่มเหมือนกับกลุ่มแรก เขาเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมการทดลองสามารถโกงได้ เขาส่งกระดาษให้ผู้ร่วมการทดลองคนละแผ่น เมื่อครบห้านาที เขาจะบอกว่า “ฉีกกระดาษแผ่นนั้น แล้วเก็บมันใส่ในกระเป๋าหรือเป้ของคุณ จากนั้นเดินมาบอกผมว่าคุณทำถูกกี่ข้อ” คราวนี้ผู้ร่วมการทดลองทำถูกเฉลี่ย 7 ข้อ ดังนั้น เมื่อมีโอกาสก็จะมีคนโกงจริงๆ ด้วย [นี่อาจจะแสดงได้ว่ามันไม่ใช่แค่มีคนไม่กี่คนโกงมากๆ แต่ที่จริง มีคนจำนวนมากที่โกงเล็กๆ น้อยๆ ด้วย]

……….

ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว การโกงอาจจะถูกวิเคราะห์ในเชิงของต้นทุนและผลได้ที่เกิดจากการคิดว่า จะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่จากการโกง? โอกาสที่จะถูกจับได้มีมากแค่ไหน? และถ้าโดนจับได้จะถูกลงโทษอย่างไร? จากนั้นก็ชั่งน้ำหนักเอา เพื่อตัดสินใจว่าคุณจะโกงดีหรือไม่ Ariely ได้ทดสอบความมีเหตุมีผลในแต่ละด้านกับผู้ร่วมการทดลอง เพื่อตอบคำถามว่าคนเรามีเหตุมีผลตามตรรกะทางเศรษฐศาสตร์จริงหรือไม่

Ariely เริ่มต้นจากการเพิ่ม/ลดจำนวนเงินที่เขามีโอกาสโกงได้ เพื่อเป็นการเพิ่ม/ลดผลตอบแทนจากการโกง จากนั้น ดูว่าเขาจะโกงมากน้อยสักแค่ไหน โดยจากเดิมที่จ่ายข้อละ 1 ดอลลาร์กลายเป็นจ่ายตั้งแต่ 10 เซนต์ 50 เซนต์ 1 ดอลลาร์ 5 ดอลลาร์ และ 10 ดอลลาร์ต่อข้อที่ทำถูก คุณอาจคิดว่า เมื่อจำนวนเงินมากขึ้น คนก็น่าจะโกงมากขึ้น แต่ผลการทดลองไม่เป็นเช่นนั้น คนจำนวนมากกว่ากลับโกงเฉพาะตอนที่เงินน้อยๆ

นอกจากนี้ Ariely ยังให้บางกลุ่มฉีกกระดาษแค่ครึ่งเดียว (แปลว่ายังมีโอกาสโดนจับได้) บางกลุ่มเราให้ฉีกทั้งแผ่น บางคนฉีกทุกอย่าง (แปลว่าไม่มีโอกาสโดนจับได้แน่ๆ) เพื่อลองเปลี่ยนแปลงโอกาสที่จะโดนจับได้ แล้วให้ผู้ร่วมการทดลองเดินออกจากห้อง ไปหยิบเงินเอาเองตามจำนวนข้อที่ทำถูกจากกล่องที่มีเงินอยู่มากกว่า 100 ดอลลาร์ คุณคงคิดว่า เมื่อโอกาสที่จะถูกจับได้ลดลง พวกเขาจะโกงมากขึ้น แต่ผลการทดลองก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นอีก การโกงยังคงไม่มีความสัมพันธ์กับโอกาสที่จะถูกจับได้

น่าสนใจอย่างยิ่งว่า การโกงไม่ได้แปรผันไปตามปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์เลย ทั้งผลตอบแทนที่จะได้รับจากการโกง และโอกาสที่จะถูกจับได้ นั่นหมายความว่าการโกงจะค่อนข้างคงที่(หรือเปลี่ยนแปลงน้อยมาก)กับค่าๆ หนึ่งของแต่ละบุคคล

ถ้าคนไม่ตอบสนองต่อสิ่งจูงใจ ตามที่หลักเหตุและผลทางเศรษฐศาสตร์ แล้วเราจะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไร? Ariely เสนอว่า มันน่าจะมีแรงผลักดันมาจากการที่พวกคุณคงอยากจะกลับบ้านส่องกระจก แล้วยังคงรู้สึกดีกับตัวเองได้อยู่ ด้วยเหตุนี้ คุณจึงไม่โกง แต่ถ้าคุณโกงแค่เล็กๆ น้อยๆ คุณอาจจะยังรู้สึกดีกับตัวเองได้อยู่ ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ มันมีขอบเขตการโกงระดับหนึ่งที่คุณไม่อยากทำเกินไปกว่านี้ คือ คุณยังคงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ จากการโกงได้ ตราบเท่าที่มันไม่ไปเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่เรามีต่อตัวเราเอง Ariely เรียกมันว่า “ระดับการโกงที่ยอมรับได้ของแต่ละคน” (Personal Fudge Factor) [ที่จริงคล้ายๆ กับการที่เราคิดว่า "ไม่เป็นไรหรอก" ในบางเวลาที่เรากำลังจะทำผิด]

แล้วอะไรที่จะทำให้ระดับการโกงที่ยอมรับได้ลดลง?

เขาทดสอบโดยการพาคนมาที่ห้องทดลอง แล้วแบ่งผู้เข้าร่วมการทดลองออกเป็นสองกลุ่มอย่างละเท่าๆ กัน กลุ่มแรก ให้นึกถึงหนังสือสิบเล่มที่เคยอ่านสมัยมัธยมปลาย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง ให้นึกถึงบัญญัติสิบประการ [คล้ายๆ กับศีลห้าในกรณีของศาสนาพุทธ] แล้วจากนั้นลองเปิดโอกาสให้สามารถโกงได้

ผลการศึกษาพบว่า คนที่นึกถึงบัญญัติสิบประการ [ซึ่งไม่มีผู้ร่วมการทดลองสักคนที่จำได้ครบทุกข้อ] เมื่อมีโอกาสจะโกงแล้ว กลับไม่มีใครโกงเลยสักคนเดียว เรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะไม่ใช่เพราะคนที่เคร่งศาสนามากกว่า หรือจำบัญญัติสิบประการได้มากกว่า จะโกงน้อยกว่า และคนที่ไม่เคร่งศาสนา หรือคนที่แทบจะจำบัญญัติสิบประการไม่ได้ จะโกงมากกว่า แต่การที่แค่พยายามจะนึกถึงบัญญัติสิบประการเท่านั้น พวกเขาก็หยุดโกง นั่นคือ ต่อให้เป็นคนที่ประกาศตัวว่าไม่มีศาสนา แต่การให้พวกเขาสาบานต่อพระคัมภีร์ แล้วให้โอกาสที่จะโกง พวกเขาก็จะไม่โกง

แล้วอะไรที่ทำให้ระดับการโกงที่ยอมรับได้เพิ่มขึ้น?

การทดลองแรก — Ariely เดินไปรอบๆ มหาวิทยาลัยของเขา (ในตอนที่ทดลอง เขายังอยู่ที่ MIT) แล้วเอาโค้กจำนวนหกแพ็คไปใส่ไว้ในตู้เย็นรวมในหอพักของนักศึกษาปริญญาตรี แล้วก็กลับมาวัดสิ่งที่เรียกว่า ช่วงอายุของโค้ก (Half Life) นั่นคือ โค้กจะอยู่ในตู้เย็นได้นานแค่ไหน? อย่างที่คาดไว้ มันอยู่ได้ไม่นานก็หายไป แต่เมื่อเขาเปลี่ยนจากโค้ก เป็นธนบัตรหกดอลลาร์ใส่ไว้ในจาน แล้วก็ทิ้งจานนั้นไว้ในตู้เย็นแบบเดียวกัน ธนบัตรกลับไม่หายไป

การทดลองแรกอาจดูหละหลวม Ariely จึงทำการทดลองอย่างเป็นระบบอีกครั้ง เพื่อให้ได้ผลที่เชื่อถือได้มากขึ้น เขาทำการทดลองแบบเดิม แต่จำแนกออกเป็นสามกลุ่ม หนึ่งในสามของผู้ร่วมการทดลองให้ส่งกระดาษคำตอบคืน อีกหนึ่งในสามให้ฉีกกระดาษทิ้งไป แล้วมาบอกว่า “คุณนักวิจัยครับ ผมแก้โจทย์ได้ X ข้อ จ่ายผมมา X ดอลลาร์” และอีกหนึ่งในสามให้ฉีกกระดาษคำตอบทิ้ง แล้วมาบอกว่า “คุณนักวิจัยครับ ผมแก้โจทย์ได้ X ข้อ จ่ายชิปผมมา X อัน” เราไม่ได้จ่ายเป็นเงิน เราจ่ายเป็นอย่างอื่น แล้วเมื่อพวกเขาได้รับอย่างอื่นที่ว่า เขาต้องเดินไปด้านข้างอีกสิบสองฟุต แล้วค่อยแลกเป็นเงิน

ลองนึกดูว่าคุณจะรู้สึกแย่แค่ไหน ถ้าจิ๊กดินสอจากที่ทำงานกลับบ้าน เปรียบเทียบกับ การขโมยเงินสิบบาทจากกล่องใส่เงิน? ความรู้สึกมันต่างกันมาก การเพิ่มขั้นตอนที่ทำให้คุณอยู่ห่างจากเงินสดไปอีกไม่กี่วินาทีโดยการได้รับชิปแทน เชื่อไหมว่า มันมีผลถึงขั้นว่าผู้ร่วมการทดลองโกหกเพิ่มเป็นสองเท่าเลยทีเดียว [นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ในตลาดหุ้นมีการโกงกันอย่างมหาศาล]

……….

ข้อสรุปของการทดลองที่ว่ามาทั้งหมดก็คือ การโกงของคนเราไม่ใช่ทั้งหมดที่ขึ้นอยู่กับผลได้จากการโกง หรือโอกาสที่จะถูกจับได้ โดยเฉพาะการโกงกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่กลับขึ้นอยู่กับระดับการโกงที่ยอมรับได้ของแต่ละบุคคลมากกว่า เนื่องจากเราคงอยากกลับบ้าน ส่องกระจกแล้วรู้สึกดีกับตัวเองอยู่ และระดับการโกงที่ยอมรับได้นั้นจะลดลง ถ้าคนเรามีศีลธรรมเป็นเครื่องเตือนใจ (แม้แต่กับคนไม่มีศาสนาก็ตาม) ขณะที่ระดับการโกงที่ยอมรับได้นั้นจะเพิ่มสูงขึ้น ถ้าสิ่งที่เขาจะโกงนั้นห่างไกลจากเงินจริงๆ ออกไป

สำหรับตอนที่ ๒ จะเป็นการทดลองต่อเนื่องจากตอนที่ ๑ นี้ เพื่อตอบคำถามว่า “ศีลธรรม” สำคัญอย่างไรกับสังคมของเรา ขอได้โปรดติดตาม