( (( )) )

26 พฤศจิกายน 2555

วิชัย วชิรพงศ์ จบ

กูรูหุ้นพันล้าน...วิชัย วชิรพงศ์ ตอนที่ 15 หยั่งกำลังหุ้น

กูรูหุ้นพันล้าน : วิชัย วชิรพงศ์

การลงทุนแบบ "ทุ่มสุดตัว" ด้วยเงินทุนก้อนใหญ่ "ครั้งเดียว" ซึ่งหมายถึงการรบแบบ "แตกหัก" ในสถานการณ์ที่เชื่อมั่นมากเกินไป เป็นวิธีการลงทุนที่ผิดพลาดได้ง่าย

อย่ารบในสงครามที่รู้ว่าเราต้องเป็น "ฝ่ายแพ้" อะไรก็ตาม ถ้ารู้ว่า "พลาด" ต้องถอยก่อน แสดงว่า..หนึ่ง สติปัญญาเราสู้เขาไม่ได้ สอง แสดงว่าเราตาถั่ว

-----------------------------

"เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ อธิบายว่า ถึงแม้ตัวเองจะมั่นใจมากกับหุ้น ปตท. แต่ใช่ว่าในสถานการณ์ที่เรามั่นใจ จะปลอดภัยเสมอไป

"นิสัยผมถ้าอะไรที่ไม่แน่ใจเต็มร้อย ผมจะระมัดระวังตัว จะเข้าไปลงทุนด้วยเงินก้อนน้อยๆ ก่อน ยิ่งถ้าเป็นหุ้นเก็งกำไร จะเล่นเป็นรอบ จะไม่ทุ่ม และจะไม่ถือยาว"

สูตรที่เสี่ยยักษ์บอกว่าใช้เป็นประจำ ถ้ามั่นใจหุ้นตัวไหนมากๆ ก็ซื้อหุ้นตัวนั้นเก็บเอาไว้ครึ่งหนึ่งก่อน และเมื่อไรที่เห็นปริมาณการซื้อขายเข้ามามากๆ ก็จะรีบซื้อหุ้นอีกครึ่งหนึ่งทันที

กลยุทธ์นี้ หมายถึงการ "หยั่งกำลังหุ้น" หรือการ "โยนหินถามทาง"

การลงทุนครั้งแรก เราต้องเริ่มจากเงินก้อนเล็กก่อน ถ้าชนะค่อยสู้ต่อ ถ้าแพ้ก็ "เลิก" ถ้าเข้าไปแล้วมีกำไรส่วนหนึ่ง ก็จะเอากองหลังมาสู้เพิ่ม ถ้าพลาดท่าก็จะ Cut Loss ทิ้ง ยังเหลือกองหลังไว้พยุงตัว "ผมคิดอย่างนี้"

ส่วนวิธีการลงทุนที่ใช้กับหุ้นทั่วไป เสี่ยยักษ์อธิบายเพิ่มเติมว่า จะใช้วิธีการหยั่งเชิง (แย็บ) ดูก่อน..ก้อนแรกที่ส่งเข้าไปลุย อาจจะเข้าไปก่อน 20-30% ของเงินที่เราเตรียมเอาไว้ ถ้า "เจ็บ" ก็ถอยออกมาตั้งหลัก และสำหรับการลงทุนใหญ่ๆ จะเลือกหุ้นเล่น แค่ครั้งละ 1 ตัว เท่านั้น

หรือแม้แต่หุ้น ปตท.ที่ตั้งใจจะเล่น "รอบใหญ่" แต่เสี่ยยักษ์จะมีการ "แบ่งหุ้น" ออกมาเล่นรอบด้วยเหมือนกัน

"ผมก็เหมือนนักลงทุนทั่วไป คือ เอาส่วนหนึ่งของหุ้น ปตท.จากก้อนใหญ่ แบ่งออกมาเล่นรอบ ประมาณ 1-2 แสนหุ้น ไหนๆ ราคามันมาแล้ว เราก็เล่นสักหน่อย"

"การเล่นรอบ" ด้วยการแบ่งหุ้นจำนวนน้อยออกมาเล่น มีข้อดีตรงที่ว่า ช่วยให้เราต้อง "เกาะติด" หุ้นตัวนั้น ไม่ให้ห่างสายตา

"ทำให้ผมต้องมองมันตลอดเวลา..คิดมันทุกเวลา การที่เราเอา 1-2 แสนหุ้น แบ่งมาเทรด (ซื้อๆขายๆ) บอกได้เลยว่ามันยาก เพราะเวลาเราขาย เราก็อยากให้มันลงมาก่อน พอมันลง ก็อยากให้ลงไปอีก พอราคาขึ้นมาใกล้ๆ ทุนเดิม ตอนนั้นยังไม่ซื้อ พฤติกรรมของนักเล่นหุ้นจะมาซื้อคืนตอนเฉี่ยวๆ ทุน บางทีขายเสร็จ ต้องไปซื้อแพงเป็นประจำ"

บทเรียนตรงนี้ สุดท้ายคนที่เล่นหุ้นแล้วได้กำไรเยอะๆ เล่นแล้วรวย ต้อง "ถือยาว" ในระยะเดือน (ไม่ใช่การซื้อๆ ขายๆ ด้วยหวังกำไรเพียงเล็กน้อย) และวิธีการซื้อจะต้องใช้วิธี "หยั่งกำลังหุ้น" ลงทุนด้วยเงินจำนวนที่ไม่มากก่อน

"วิธีการซื้อหุ้นที่ดี เราอย่าเพิ่งทุ่มก้อนใหญ่ ค่อยๆ หย่อนลงไป ลงแล้วชนะ (ทัพหลวง) ค่อยตามลงไป" เสี่ยยักษ์ย้ำว่ากลยุทธ์นี้ใช้ได้ผลดีมาตลอด

ถ้าขาดทุนจะทำอย่างไร

เสี่ยยักษ์บอกว่า โดยปกติการลงทุนของตนเอง จะไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องลงทุนครั้งละเท่าไร หรือแบ่งเงินยังไง การลงทุนที่ดีจะต้อง "ยืดหยุ่น" ตามสถานการณ์

"แต่ถ้าเริ่มต้นเข้าไปปั๊บ!..ผมโดนเลย (หุ้นตกฮวบ) ก็เลิก"

เซียนหุ้นพันล้าน เน้นย้ำว่า อย่ารบในสงครามที่รู้ว่าเราต้องเป็น "ฝ่ายแพ้" อะไรก็ตาม ถ้ารู้ว่า "พลาด" ต้องถอยก่อน แสดงว่า..หนึ่ง สติปัญญาเราสู้เขาไม่ได้ สอง แสดงว่าเราตาถั่ว มองอะไรไม่เห็น หรือมองไม่ชัด

เสี่ยยักษ์บอกว่า ในภาวะที่เราอ่านตลาด (ทิศทาง SET) ไม่ออก หลักการสำคัญต้องดูเรื่อง "สภาพคล่อง" ในกระเป๋าของเราเป็นอันดับแรก

"บางช่วง ผมอาจจะมีหุ้นอยู่ในพอร์ต 3-4 ตัว ถ้าสภาพคล่องเริ่มต่ำลง ถึงจุดที่เราตั้งไว้ ผมจะล้างพอร์ต เหมาขายหุ้นทิ้งทั้งหมด จะไม่มีแบบว่าเก็บตัวที่ขาดทุนเอาไว้ ขายออกเฉพาะตัวที่มีกำไร ภาวะนั้น..ผมจะถือเงินสดอย่างเดียว"

นั่นหมายความว่า..เมื่อไรก็ตามที่เราประเมินไม่ออกว่าทางข้างหน้าจะดีหรือร้าย เราต้องออกมาตั้งหลักใหม่.."อย่าฝืนสู้" เพราะเราจะตาถั่ว เพราะบางช่วงของคนเรา คุณชนะไม่ได้ทุกครั้ง ถ้าเราพลาดก็ต้องยอมรับว่าพลาด ต้องถอยก่อน แสดงว่าช่วงนั้นเราสู้เขาไม่ได้จริงๆ ต้องออกมาดูอยู่วงนอก

ส่วนการ "ถอย" ในจังหวะที่เราอยู่ในสถานการณ์ "เพลี่ยงพล้ำ" เขาบอกว่า ประโยชน์ของมันก็คือ เพื่อทำให้ตัวเรา "สด" ก่อนกลับเข้าไปสู้ใหม่ ไม่ใช่ว่าจะต้องสู้จนตายกันไปข้างหนึ่ง วิธีการเล่นหุ้นอย่างงั้น "มันผิด"

"มีคนมาถามผมว่าติดหุ้นอยู่ตั้งหลายตัวจะทำอย่างไรดี ผมแนะนำเขาไปว่า หุ้นตัวไหนที่ไม่มีอนาคต คุณต้องตัดทิ้งไปให้หมด แล้วคุณต้องเหลือ "เงินสด" เอาไว้สู้ต่อ ช่วงไหนที่ตลาดบวก (Bullish Trend) เราค่อยสู้ใหม่ อัดเข้าไปให้เต็มพอร์ตเลย เป็นทางเดียวที่คุณมีโอกาสจะได้ทุนคืน"

ทั้งนี้ ในยุทธศาสตร์การรบ "การติดหุ้น" เท่ากับเป็นการสลายกำลัง คุณติดหุ้น 60% เหลือเงิน 40% ถึงตลาดดี ก็ไม่มีเงินมาสู้ใหม่..เมื่อไรถึงจะได้ทุนคืน มันเป็นไปได้ยาก คนที่พอร์ตจะขยายใหญ่ได้.."ช่วงที่หุ้นขึ้น คุณต้องมีเงินซื้อหุ้น"

"เพราะฉะนั้น ถ้าช่วงไหนที่ตลาดไม่ดี หลักการคือคุณต้องถือเงินสดไว้ให้มากที่สุด" เสี่ยยักษ์ กล่าวสรุปปิดท้าย



กรุงเทพธุรกิจ


=====

กูรูหุ้นพันล้าน...วิชัย วชิรพงศ์ : ตอนที่ 16 Sell on Fact

2 สิงหาคม พ.. 2550 05:00:00


"เสี่ยยักษ์"วิชัย วชิรพงศ์

  คำว่า "ข่าวลือ" คุณต้องแอบพูดในที่ "ลับ" ถ้ามากระจายให้มหาชนรับรู้...มาบอกนักข่าว แสดงว่า "จบรอบ" แล้ว...คุณต้องทิ้ง
ในชีวิตการลงทุนของ "เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ ผ่านประสบการณ์ "เจ็บๆ" มานับครั้งไม่ถ้วน ก่อนจะค้นพบหนทางแห่งความสำเร็จด้วยตัวเอง ทำให้ เสี่ยยักษ์ เชื่อว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือคุณไม่ได้หรอก ตัวคุณเท่านั้นที่ต้องช่วยตัวเอง

 "...โชคชะตาจะเลือกช่วยเหลือเฉพาะคนที่มีความพยายาม (มากกว่า) เท่านั้น" เสี่ยยักษ์ เชื่อเช่นนั้น  

  "ผมจำได้ว่า ตอนที่หุ้นกำลังเริ่มขึ้น ช่วงปี 2536 ก่อนดัชนี SET จะขึ้นไป 1,789 จุด (ต้นปี 2537) ตอนนั้น ผมมีเงินอยู่ 15 ล้านบาท ช่วงนั้น ขับรถผ่านวัดหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ตำบลบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็อธิษฐานว่าถ้าหากผมหาเงินได้ 35 ล้านบาท จะถวายเงินให้วัด 3 แสนห้า ไม่ถึงปี ผมมีเงิน 35 ล้านบาท จริงๆ"

 แต่ช้าก่อน นี่ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ เพราะตอนอธิษฐาน เสี่ยยักษ์ ไม่ได้บอกให้หลวงพ่อปานช่วยเหลือ (แบบทางลัด) แต่เขาบอกท่านว่า

 "...ถ้าผมชนะก็ให้ชนะด้วยฝีมือของตัวเอง ผมปวารณาตัวเองว่า ถ้าทำได้ ผมจะถวายเงินวัด"

  เสี่ยยักษ์ มีทัศนคติว่า คนที่ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขอนั่นขอนี่ นั่นคือ การฝึกให้เราเป็นคอร์รัปชัน การที่คุณเอาหัวหมูไปไหว้แล้วขอให้มีเงินร้อยล้าน พันล้าน คิดว่าไม่ใช่วิธีที่จะทำให้ใครร่ำรวยได้

 "นักลงทุนรายใหญ่ เท่าที่รู้จักหลายคน เขาไม่เชื่อเรื่องพวกนี้"

 จากนั้น เสี่ยยักษ์ ก็เล่าหนังถึงเรื่องหนึ่ง ที่ตัวเองชอบมากที่สุด คือ เรื่อง "Bruce AL MIGHTY" (นำแสดงโดยดาราตลก "จิม แคร์รี่" ในบท "บรูซ โนแลน" นักข่าวโทรทัศน์ ที่ถูกไล่ออกจากงาน และท้าทายต่อพระเจ้า จนพระองค์มอบพลังอำนาจพิเศษให้เป็นเวลา 7 วัน) เขาได้เป็นเทวดา 7 วัน เพราะเขาโทษเทวดาว่าเทวดาไม่ช่วยเขา เทวดาก็เลยให้เขาเป็นเทวดาเสียเลย แต่เมื่อคนเรายิ่งมีอำนาจมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งจะคิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง และเมื่อได้พบปาฏิหาริย์ ก็หลงละเลิง

 แท้จริงแล้วปาฏิหาริย์ที่แท้จริง ก็คือ การทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุดต่างหาก  

 บทสรุปของเรื่องนี้ คนเราจะประสบความสำเร็จ คุณต้องช่วยเหลือตัวเอง และในที่สุด "บรูซ โนแลน" ก็ค้นพบสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา นั่นคือ "ทำสิ่งที่มีอยู่แล้ว ให้ดีที่สุด"

 เสี่ยยักษ์ เชื่อว่า คนที่เล่นหุ้นแล้วได้กำไร เพราะเขาคิดด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่การปักใจเชื่อแบบงมงาย แต่ไม่ปฏิเสธว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจริง แต่ไม่สามารถดลบันดาลให้คุณดีขึ้นได้ ถ้าคุณไม่ค้นหาด้วยตัวคุณเอง

 เซียนหุ้นรายนี้ ยังย้ำความคิดเดิมว่า ถ้าจะเล่นหุ้นให้รวยจริงๆ แล้ว ต้องเล่น "รอบใหญ่" อย่างเดียว ถ้าเล่นเอาค่ากับข้าว ก็ซื้อๆ ขายๆ เชื่อผมเถอะ! "ไม่รวยหรอก"

 "จากประสบการณ์ของผม คนที่รวยหุ้นมากๆ ต้องมีหุ้นเด็ด ถือยาว และกำไรหนัก ต้องหาหุ้นอย่างนี้ให้เจอ"

 เมื่อเป็นต้นไม้ใหญ่ในวงการ ก็มักจะมี "เจ้าของหุ้น" เข้ามาหา เสี่ยยักษ์ ยอมรับว่า เคยมีมาขอให้ช่วยดูแลหุ้นให้ แต่จะบอกเจ้าของหุ้นไปว่า ถ้าคุณทำผลงานของคุณให้ดีๆ แล้ว คนทั้งตลาดก็จะช่วยคุณเอง

 ...การที่เราจะไปจัดการหุ้นให้กับใคร หรือ เป็น "มาร์เก็ตเมคเกอร์" ให้ใคร คุณต้องขายหุ้นให้คนอื่น คุณถึงจะรวย แล้วขายให้ใคร...ในเมื่อวงที่เล่นกันมันไม่ใหญ่ สุดท้าย คุณก็ต้องขายหุ้นให้คนรอบๆ ข้าง (ก๊วน) คุณเอง

 ภาษาเหนือ เขาบอกว่า "จูงหมาน้อยขึ้นดอย" คุณรวย เพื่อนคุณตาย คุณจะมีความสุขได้ยังไง 

 "ในมุมมองของผม เล่นหุ้นมีปัจจัยพื้นฐานดีกว่า เราเล่นหุ้นมวลชน ได้-เสียไม่ต่อว่ากัน"

 ก่อนจะบอกว่า ที่ผ่านมาเห็นมาเยอะ ที่จับมือเป็นพันธมิตรกัน สุดท้ายก็ทะเลาะกัน หุ้นหลายตัวในชีวิต เสียเพื่อนกันไปก็เยอะ

 "...เวลาขายหุ้น ผมจะขายหนัก สมมติว่ามี Bid (เสนอซื้อ) 3 ช่อง ถ้าผมอยากจะออก ผมทิ้งช่อง Bid หมด 3 ช่องเลย ยกตัวอย่างหุ้น TPI (ปัจจุบัน คือ IRPC) ผมเคยขายทีเดียว 60-70 ล้านหุ้น จนคนในวงการบอกว่า ผมเล่นหนัก ทุกคนจะรู้ว่า ถ้ามี Bid เยอะๆ แล้วผมไม่สบายใจ ผมออกไปเลย 3 ช่อง หลบกันแทบไม่ทัน"

 นอกจากนี้ เสี่ยยักษ์ ก็เคยโดนเจ้าของหุ้น "หรอก" มาแล้ว ประมาณว่า "แง้มข่าวดี" ให้เข้าไปซื้อ แต่ตัวเองแอบเทขายหุ้นออกมาให้ก็มี ซึ่งในวงการนี้จะมีการ "ขี่กัน" เล็กๆ น้อยๆ

 "เรื่องข่าวลือ หรือ ข่าวอินไซด์ ผมฟัง...แต่ไม่ได้เชื่อ คนที่อยู่ในวงการระดับ 10-20 ปี คิดว่าไม่มีใครเชื่อ ถ้ามีหุ้นตัวนั้นอยู่ จะขายออกไปด้วยซ้ำ เพราะคำว่า "ข่าวลือ" คุณต้องแอบพูดในที่ลับ ถ้ามากระจายให้มหาชนรับรู้...มาบอกนักข่าว แสดงว่า "จบรอบ" แล้ว...คุณต้องทิ้ง"

 เสี่ยยักษ์ สรุปหลักการ "ขายหุ้น" กรณีที่มี "ข่าวลือ" หลุดออกมาก่อนว่า เราต้อง "Sell on Fact" (ขายเมื่อมีข่าวจริง) หรือ "Sell on Good News" (ขายเมื่อมีข่าวดีกระจายไปทั่ว) กฎข้อนี้ยังใช้ได้ดีในตลาดหุ้น เพราะพวกที่ปล่อยข่าว กำหนดราคาเป้าหมายได้ พวกนี้ต้อง "เสือ" เท่านั้น ถึงจะทำได้



ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 2 สิงหาคม 2550


================

กูรูหุ้นพันล้าน : ตอนที่ 17 หุ้นเรียกแขก

เชิญครับ! เชิญ..เชิญมารวย!!! ด้วยกันคร้าบบ..พี่น้อง ในตลาดหุ้นมักจะมี "หุ้นปั่น" สลับกันขึ้นมาหวือหวา ซึ่งหุ้นประเภทนี้ "เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ เตือนว่า หุ้นพวกนี้อันตรายที่สุด

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : เพราะเวลาเจ้ามือ "ทิ้ง" มันลงไปถึงก้นเหวได้ง่ายๆ ...ในวงการหุ้น เขาจะเรียกหุ้นประเภทนี้ว่า หุ้นเรียกแขก

 เซียนหุ้นรายนี้อธิบายว่า โดยส่วนตัว ไม่ชอบเล่น แต่ก็พอรู้ว่าหุ้นตัวไหนมีเจ้ามือดูแลอยู่ ถ้าเราไปขวางทางเขา เขาก็ต้องสะบัดเราหลุด พร้อมทั้งบอกเกร็ดความรู้ให้ฟังด้วยว่า...

 "จะเล่นหุ้นพวกนี้ (หุ้นปั่น) จะต้องซื้อน้อยๆ เกาะตู้เย็น หาค่ากับข้าวได้ แต่อย่าไปเล่นแรง อย่าไปทุ่ม เดี๋ยวเจ้ามือมันจะโยนหุ้นให้เรา"  

 ข้อสังเกตของหุ้นปั่น หนึ่ง..ต้องมี "เจ้ามือ" (กลุ่มก๊วนคอยทำราคา) สอง..ผู้ถือหุ้นใหญ่ มักจะรู้เห็นเป็นใจด้วย ในลักษณะช่วยกันออกข่าวดี (ในหลายกรณี ผู้ถือหุ้นใหญ่มักจะโอนหุ้นบางส่วนไปไว้ในพอร์ต "นอมินี" หรือให้ตัวแทนเข้าไปเก็บหุ้น ก่อนจะมีการทำราคา)

 เสี่ยยักษ์ให้ความกระจ่างว่า เขาจะดูด "ซัพพลาย" (ปริมาณหุ้นหมุนเวียน) ออกไปให้มากที่สุด จากนั้นหุ้นจะวิ่ง..พักนิดหนึ่ง..แล้วก็วิ่งต่อ ระหว่างที่หุ้นวิ่งแรงๆ เจ้ามือจะรอกินเราอยู่ ถ้าราคายังไม่ถึงเป้าหมาย เขาก็ประคองราคาเอาไว้ จนมี "เหยื่อ" กลุ่มใหญ่เข้ามา แต่หุ้นพวกนี้ สุดท้ายแล้ว "เสือ" จะกิน "เนื้อเสือ" คือ กินพวกเดียวกันเองด้วย

 นอกจากนี้ เสี่ยยักษ์ยังตอบข้อสังเกตด้วยว่า ทำไม! หุ้นไอพีโอ (IPO) หลายตัว พอเข้าตลาดมาใหม่ๆ หุ้นมักจะถูก "ทุบ" ลงไปก่อน แล้วค่อย "ลาก" ขึ้นมาทีหลัง 

 "ผมคิดว่าเจ้าของหุ้น (ผู้ถือหุ้นใหญ่) เป็นคนปล่อยหุ้นออกมาเอง แล้วค่อยไปรอเก็บราคาต่ำ "เพื่อลดต้นทุน" แล้วเล่นรอบขึ้นมาใหม่ ผิดกับสมัยก่อน ซื้อหุ้นไอพีโอจะได้กำไรมหาศาล เพราะเจ้าของหุ้นไม่เอาหุ้นมาหมุนในตลาดเยอะเหมือนสมัยนี้"   

 เสี่ยยักษ์ตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทไหนที่เจ้าของหุ้นลงมาเล่นหุ้นตัวเอง (โดยปกติมักจะเล่นหุ้นผ่านนอมินี) สุดท้ายมักจะ "เจ๊ง" เพราะหุ้นตัวนั้นจะขาดความน่าเชื่อถือ 

 นอกเหนือจาก "หุ้นเรียกแขก" ที่ไม่ควรเข้าไปแตะต้องแล้ว ยังมีหุ้นอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ควรเล่น คือ หุ้นที่เจ้าของบริษัทมี "ไอคิว" (Intelligence Quotient) เหนือกว่าเรามาก ยกตัวอย่างเช่น หุ้นกลุ่มซีพี (เครือเจริญโภคภัณฑ์)

 "ผมเคยอ่านจากข่าวว่า ท่านเจ้าสัว ธนินท์ เจียรวนนท์ เคยพูดออกมาคำหนึ่งว่า...สิ่งที่ทำผิดพลาดที่สุดในชีวิต คือ ไม่ยอมขายหุ้นเทเลคอมเอเซีย (ปัจจุบันคือ TRUE) ที่ราคา 70 กว่าบาท ถามหน่อยว่า มีใครรวยหุ้นซีพีบ้าง! เพราะไอคิวเราสู้เขาไม่ได้ พอท่านเผยความคิดนี้ออกมา จะเล่นหุ้นกลุ่มนี้ก็ต้องระวังตัว

 เสี่ยยักษ์ย้ำว่า ถ้าเราไปเจอบริษัทไหนก็ตามที่เรารู้สึกว่า ไอคิวเราสู้เจ้าของบริษัทไม่ได้ ถ้าใครเจอหุ้นแบบนี้ ชีวิตนี้อย่าไปแตะต้อง เพราะคุณจะไม่มีทางรวย

 แล้วลักษณะของหุ้นแบบไหนที่ซื้อแล้ว มีโอกาส "ฟลุ้ค" แจ๊คพอตแตก 

 “หุ้นที่จะฟลุ้ค ต้องเป็นหุ้นประเภท "คอมมูนิตี้" (สินค้าโภคภัณฑ์) เช่น น้ำมัน ปิโตรเคมี เดินเรือ ฯลฯ ซึ่งหุ้นประเภทนี้จะมีไซเคิลของมัน วันหนึ่งที่ถึงไซเคิลของมัน (ช่วงเทิร์นอะราวด์) มีโอกาสรวยได้ง่ายๆ แต่คุณต้องรู้ว่าไซเคิลของธุรกิจอะไรที่กำลังจะมา"

 ...และจังหวะซื้อ จะต้องเป็นรอยต่อของช่วง "ตกต่ำ" (Depression) มาสู่ช่วง "ฟื้นตัวใหม่" (Revival) ซื้อแล้ว "ถือ

 ทั้งนี้ วัฏจักรธุรกิจจะแบ่งออกเป็น 5 ช่วง คือ 1.ขยายตัว (Expansion) 2.รุ่งเรือง (Boom) 3.ถดถอย (Recession) 4.ตกต่ำ (Depression) และ 5.ฟื้นตัวใหม่ (Revival)  

 หลังจากหุ้น ปตท.ที่เสี่ยยักษ์ได้กำไรจำนวนมากแล้ว หุ้นอีกตัวที่น่าจดจำ คือ หุ้น TPI (ปัจจุบัน คือ IRPC) 

 "หลังจากหุ้น ปตท.ผมก็มาเจอหุ้นในดวงใจอีกตัว คือ หุ้น TPI ประมาณปลายปี 2548 ตอนนั้นราคา 10 บาทกว่า ยังไม่เพิ่มทุน 1 ต่อ 2 ที่ราคา 3.30 บาท ก่อนหน้านั้น กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ไปคุยกับอดีตผู้บริหาร แน่ใจว่า ปตท.จะเป็นแกนดึงพันธมิตร (กบข.-วายุภักษ์-.ออมสิน) เข้ามาเพิ่มทุน ที่ราคา 3.30 บาท

 ...ผมก็บอกว่า โอ้ย! หุ้นอย่างนี้ดีซิ! มันกำลังจะเปลี่ยนโครงสร้าง ทำอะไรใหม่ เราไม่ต้องกลัว เพราะหลังเพิ่มทุนเสร็จ ต้นทุนเราเฉลี่ยประมาณ 5 บาทกว่า เขา (กลุ่มปตท.) ลงทุนตั้งหลายหมื่นล้านบาท ของเราลงทุนแค่นิดเดียว จะไปกลัวมันทำไม!"

 ช่วงที่ราคาหุ้น TPI แถวๆ 10 บาทกว่า เสี่ยยักษ์ก็ทยอยซื้อเข้าพอร์ต หลังจากนั้นราคามันวิ่งขึ้นไป 18 บาท พอกลุ่มปตท.กำลังจะเข้ามา (ขึ้น XR วันที่ 14 ..2548) กลุ่มประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ก็ฟ้องศาลคัดค้าน ราคาก็หล่นลงมาเหลือ 15-16 บาท 

  "ช่วงราคาทรุดลง..ผมก็จะแย่ แต่พอศาลตัดสินว่าคุณประชัยแพ้ กลุ่มปตท.เพิ่มทุนได้ ช่วงต้นปี 2549 ราคาหลังเพิ่มทุน ขึ้นไปสูงสุด 8.95 บาท ตอนนั้น ผมถือหุ้น TPI อยู่กว่า 100 ล้านหุ้น มูลค่าลงทุนตัวเดียว 1,000 ล้านบาท ชอตนี้..ผมก็ได้กำไรเยอะ

 เสี่ยยักษ์สรุปปิดท้ายว่า โดยส่วนตัว เวลาที่จะลงทุนหุ้นตัวไหนหนักๆ จะต้องทำการบ้านอย่างละเอียด โดยเฉพาะข้อมูลสำคัญของหุ้น ต้องรู้ให้ลึก รู้ให้จริง   

 "ยกตัวอย่าง ตอนที่ผมจะซื้อหุ้น TPI ผมจะเก็บข้อมูลทุกอย่างของหุ้นตัวนี้ให้หมด ตั้งแต่ลูกหุ้นเข้าวันไหน ขาดทุนน้ำมันเท่าไร กำไรอัตราแลกเปลี่ยนเท่าไร ราคาเม็ดพลาสติกตอนนี้เป็นอย่างไร พื้นฐานพวกนี้ผมจะตัดข้อมูลเก็บเอาไว้หมด"

 นี่ไง! เคล็ดไม่ลับแห่งความสำเร็จของ "เซียน" ที่ชื่อ "วิชัย วชิรพงศ์"


ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

==========

กูรูหุ้นพันล้าน : ตอนที่ 18 สัญญาณ "ลงแรง"

วิชัย วชิรพงศ์

กรณีที่หุ้นจะ "ปรับตัวแรง" วอลุ่มมักจะ "พีค" ก่อน ให้สังเกตว่า รายย่อยจะแห่เข้าใส่ แบบไม่ลืมหูลืมตา เวลาที่หุ้นปรับตัว มันจะ "ลงแรง"

---------------------------

สูตรการเล่นหุ้น ใน "มุมมอง" ของนักลงทุนรายใหญ่ มักจะ "มอง" แตกต่างไปจาก "มุม" ของนักลงทุนรายย่อย เพราะเหตุใด ?

ประเด็นนี้ "เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ อธิบายว่า ในบางตำรา...สูตรการเล่นหุ้น มักจะบอกว่า "ลงให้ซื้อ...ขึ้นให้ขาย" แต่วิธีคิดแบบนี้ใช้ไม่ได้ทุกครั้ง ยกตัวอย่าง ช่วงที่ดัชนี SET ขึ้นไป 1,789 จุด (ต้นปี 2537) หลังจากนั้น มันลงทีเดียวถึง "นรก" เลย (ลงมาปิดต่ำสุด 207 จุด เมื่อเดือนกันยายน 2541) คนที่ผ่านจุดอันตรายที่สุดมาแล้ว เขาจะไม่คิดแบบนี้ เพราะ "ลูกยังเล็ก" อันตราย !!

...เขาจะคิดตรงกันข้ามว่า "ลงให้ขาย" (Cut Loss) "ขึ้นให้ซื้อ" (Follow the Trend) ซึ่งเป็นวิธีที่ "ลดความเสี่ยง" ได้ดีที่สุด

เสี่ยยักษ์ ยังบอกเทคนิคด้วยว่า เราจะอ่านเกมได้อย่างไร กรณีที่หุ้นปรับฐานแล้ว จะ "ลงแรง" หรือ "ไม่แรง"

"สัญญาณขาย" หรือ Sell Signal ตามหลักดีมานด์และซัพพลาย ก็คือ ในกรณีที่หุ้นจะลง "ไม่แรง" นั้น รายย่อยจะยัง "ไม่เข้า" เมื่อหุ้นปรับฐานแล้ว มีโอกาสไปต่อ "สูง"

กรณีที่หุ้นจะ "ปรับตัวแรง" ให้สังเกต "วอลุ่ม" มักจะทำ "พีค" ก่อน แสดงว่า...รายย่อยแห่เข้าใส่แล้ว ยิ่งซื้อแบบไม่ลืมหูลืมตา (กลัวตกรถไฟขบวนสุดท้าย) เวลาที่หุ้นปรับตัว จะ "ลงแรง" และ "ลงหนัก"

นอกจากนี้ ยังสามารถนำแนวคิดนี้ ไปใช้อ่านดัชนี SET ได้ด้วย ให้สังเกตว่า ถ้า ดัชนี SET กำลังปรับตัวขึ้น ยืนนิดหนึ่ง แล้วขึ้นต่อ...ยืนนิดหนึ่ง แล้วขึ้นต่อ แสดงว่า รายย่อยยังไม่ (กล้า) เข้า SET จะลงไม่แรง เพราะ "จุดมั่นใจ" ยังไม่เกิด

"...จำเอาไว้ว่า "จุดมั่นใจที่สุด คือ จุดอันตรายที่สุด" ถ้ายังไม่มีจุดมั่นใจ คนเล่นหุ้นจะไม่กล้าทุ่ม แต่เมื่อไรที่ฮึกเหิมสุดๆ เมื่อนั้นแหละ...อันตรายที่สุด" นี่คือ สุดยอดของเคล็ดวิชาอีกข้อหนึ่งที่เสี่ยยักษ์ เน้นย้ำ !

เทคนิค ในการ "อ่าน" ทิศทางของ ดัชนี SET "แบบวันต่อวัน" (เพื่อวัตถุประสงค์การเล่นเก็งกำไรระยะสั้น) ให้สังเกต "หุ้นค้ำตลาด" ตัวแข็งๆ ในแต่ละวัน ซึ่งมักจะหมายถึง หุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ ที่เป็น "หัวโจก" ของวัน เช่น PTT, BBL-F ฯลฯ

"ต้องดูว่า ฝรั่งหรือกองทุน จะ "เล่นขึ้น" หรือ "เล่นลง" ให้สังเกตวอลุ่ม และวิธีการตั้งซื้อ ตั้งขาย ยกตัวอย่าง วันนี้ ตัวค้ำเป็น BBL-F ราคา 119 บาท เขียวอยู่ดีๆ เผลอแปลบเดียว กลับมาแดง แล้วเราต้องไปดู หุ้นตัวใหญ่ๆ (ตัวอื่น) เริ่มถูกเทขายออกมาหรือยัง เช่น PTTEP, TOP จากนั้นเราก็ต้องไปเช็คราคาน้ำมันดิบ ถ้าราคาน้ำมันลง แสดงว่าวันนี้น่าจะมีการปรับฐาน วิธีการอ่านก็ประมาณนี้

...สมมติ BBL-F ตัวค้ำตลาดลง PTTEP ราคา 98 บาท ลงด้วย มีคนตั้งขาย 200 หุ้น ที่ราคา 97.50 บาท เขาพยายามจะชี้นำให้ ดัชนี SET พุ่งลง ทั้งๆ ที่ดูกราฟแล้ว ดัชนี SET น่าจะมีการรีบาวนด์ กราฟมันเริ่มตัดขึ้น แต่มีคนเคาะขายตัวใหญ่ให้ลง ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ หนึ่ง...อยากให้ ดัชนี SET ลงเลย กับ สอง...เพื่อเขาจะซื้อ "เก็บ" ได้ในราคาต่ำ เราต้องประเมินเจตนาให้ออก"

เสี่ยยักษ์ บอกว่า มันมีคนกลุ่มหนึ่งที่จ้องขาย 100 หุ้น 200 หุ้น ในหุ้นที่มีทุนจดทะเบียนใหญ่ๆ เพื่อให้กราฟพุ่งลงมา จากที่กราฟกำลังจะตัดขึ้น จะมีคนพยายามกดมันไว้ เราต้องประเมินดูว่าที่เขาทำอย่างนี้ เขาตั้งใจจะเก็บ (หุ้น) ของ หรือไม่

หรืออย่างกรณีของหุ้น PTT วันก่อนมีปริมาณซื้อขาย 11 ล้านหุ้น ราคาอยู่ที่ 210 บาท อีกวันวอลุ่มลงมาเหลือ 7.8 ล้านหุ้น ราคาขึ้นไป 214 บาท แล้ววันนี้วอลุ่มหาย เหลือ 2-3 ล้านหุ้น แล้วราคายังยืนได้ 212-214 บาท สัญญาณอย่างนี้ "ถือว่าดี"

แสดงว่า มีการเก็บของในลักษณะ "เก็บออกไปเลย" ไม่ได้เอากลับมาหมุนในตลาด ซึ่งมันต่างกับหุ้นบางตัว พอลากราคาขึ้นไปปุ๊บ! ทุกคนแห่ขาย "หุ้นตก...วอลุ่มมาเพียบ" เจออย่างนี้ก็ต้อง "ถอย"

เสี่ยยักษ์ ยังยกตัวอย่างถึงกรณีของหุ้น IRPC สมมติ มีคนเทขายกดลงมาไม้ใหญ่ๆ ที่ราคา 6.10 บาท แล้วในวินาทีเดียวกัน (ทันทีเลย) มีคนมารับต่อทันที 1 ล้านหุ้น โดยข้อเท็จจริงแล้วถ้าหุ้นมันจะลง จะต้องไม่มีรายใหญ่คนไหนกล้าเข้ามารับ ต้องไม่มีใครกล้าสวน

ละครฉากต่อมา มีคนแกล้งทำให้ลบ เคาะขายออกมา 500 หุ้น ที่ราคา 6.05 บาท แต่คนซื้อใหญ่กว่าทำให้ราคาเบ่งขึ้นมาได้ แสดงว่าฐานราคาตรง 6.10 บาท "แข็งแรง" หุ้นก็จะดูดี ราคาตรงจุดนี้เราอาจจะลงทุนระยะสั้นได้

"...นี่คือ "วิชาสังเกต" ที่เราต้องนั่งดูทุกวัน รับรองว่าไม่มีสอนในตำรา"

เสี่ยยักษ์ สรุปบทเรียนจากวิชาสังเกต ให้ฟังว่า ถ้าหุ้นตัวไหน สวนทาง ดัชนี SET ของวันได้ แสดงว่า "ดี" หุ้นตัวนั้นต้องมีคนดูแล เช่น ถ้าดัชนี SET "ลง" แต่ราคาหุ้นตัวนี้มันยังยืนได้ แสดงว่าแข็งกว่าตลาด...มันสู้! เล่นสั้นได้

นอกจากนี้ ดัชนี SET ที่แข็งแกร่ง เวลาขาขึ้น จะต้องมีการปรับฐานเป็นระยะๆ ไม่ใช่ขึ้นพรวดเดียว สมมติขึ้นไปแล้ว 15 จุด อีกวันยืน วันต่อมาปรับตัวลงนิดหน่อย อย่างนี้จึงจะถือว่า...โอเค ! เป็นต้น

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 10 สิงหาคม 2550

=========

ตอนที่ 19 Bid และ Offer

วิชัย วชิรพงศ์

"ในช่วงของการสะสมหุ้น ถ้าเป็น "หุ้นดี" ให้สังเกตฝั่ง Bid จะน้อย แต่ฝั่ง Offer จะเยอะ ภาวะอย่างนี้ คือ ช่วงที่ดัชนี SET ประมาณ ตี 4 ตี 5 คนยังเล่นหุ้นไม่เต็มตัว เขาจะรอรับ แต่จะไม่ไล่ราคา"
สำหรับการลงทุนระยะสั้น การทำความเข้าใจกับ "แนวรับ" หรือ แนว Support และ "แนวต้าน" หรือ แนว Resistance นั้น นับว่ามีความสำคัญอยู่ไม่น้อย
"เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ ยกตัวอย่างให้ฟังว่า ถ้าราคาหุ้นช่วงไหนที่ทุกคนซื้อขาย "นัวเนีย" อยู่แถวนี้ "แน่น" มาก และนานพอสมควร ถ้าจะฝ่าราคาตรงนี้ขึ้นไปได้ ต้องใช้เงินมาก ยกตัวอย่าง คนที่ติด BLAND-W1 ที่ 0.21 บาท (ขณะที่สัมภาษณ์) เริ่มอึดอัดแล้ว เพราะราคามันนัวเนียอยู่ตรงนี้นาน
โดยหลักจิตวิทยาของคนเล่นหุ้น ถ้า "ขาดทุน" พอราคาขึ้นมาถึงทุน ก็จะรีบขาย ภาษาหุ้นเขาเรียกว่า "ขอชีวิตคืน" ตรงจุดนั้น ก็จะเป็น "แรงต้าน"
แต่ถ้าราคามีการ Breakout หรือ การทะลุผ่านแนวต้าน ที่ 0.21 บาท ขึ้นไปได้ แนวต้านตรงนี้ ก็จะกลายเป็น "แนวรับ" เลยนะ คนที่จะเล่นหุ้นเก็งกำไรระยะสั้น ต้องดูจุดนี้ประกอบด้วย
นอกจากนี้ บางทีก็ต้องดูว่า "ฝรั่ง" (ต่างชาติ) เข้าหรือไม่เข้า ถ้าผ่านไป 2 ชั่วโมง (10.00-12.00 .) วอลุ่มยัง 5,000 ล้านบาท อยู่เลย แสดงว่าวันนี้ "ฝรั่งไม่เข้า" ตลาดอาจจะนิ่งๆ ไม่ไปไหน
แต่ถ้าวันไหนเปิดมา วอลุ่ม "ปี้ด" ขึ้นไปเลย ดัชนี SET กลับมา "บวก" เดาได้เลยว่า วันนี้ ฝรั่งต้องมี "Net Buy" ต้องรีบไปดูเลย หุ้นตัวไหนจะมา ให้เรา "เล่นตามน้ำ" หรือ Follow the Trend ได้
บางที เพื่อความแน่ใจต้องไปเช็คดูว่า วอลุ่มมาจากโบรกฯ ไหน ถ้ามาจาก บล.ยูบีเอส (ประเทศไทย) ใช่เลยของจริง ซึ่งส่วนใหญ่ (รายใหญ่) ก็จะรู้กันก่อนว่า "ฝรั่ง" มีออเดอร์เข้ามาหรือไม่มี
เสี่ยยักษ์ แนะนำเคล็ดลับเพิ่มเติมว่า ถ้าตลาดหุ้นจะ "ดี" มักจะต้องมีตัว Shoot (ตัวยิงประตู) ซึ่งหมายถึง "หุ้นนำตลาด" บางตัว หรือ "ข่าวดี" อะไรบางอย่าง "นำมาก่อน" จะเป็นการส่งสัญญาณให้หุ้นขึ้น พอคุณกล้า...ผมก็กล้า มันเป็นหลักจิตวิทยา
ขณะเดียวกัน ถ้าหุ้นจะเปลี่ยนเป็น "ขาลง" มันจะมี "ตัวลงแรง" นำมาก่อน เดี๋ยวหุ้นตัวอื่นก็จะลงแรงตาม ลงหนักๆ ตามกันลงไป...ตลาดหุ้นมักจะเป็นอย่างนี้เสมอ !!!
เช่น ถ้าวันนี้ หุ้น PTT ลงแรง หุ้น KBANK ลง หุ้น TOP รวมทั้งหุ้นตัวอื่นๆ ก็จะไหลลงตาม อย่างนี้เป็นต้น
เสี่ยยักษ์ บอกว่า "ตัวแปร" ที่ส่งสัญญาณเหล่านี้ ต้องใช้ประสบการณ์ และต้องหัดสังเกตบ่อยๆ อย่างบางช่วง ถ้าเราเห็นหุ้น "บิ๊กแคป" บางตัวกล้า "ฉีกตัว" หรือ "กล้าสู้" ขึ้นไป เดี๋ยวหุ้นตัวอื่นก็จะกล้าสู้ขึ้นตาม เราต้องจำว่าหุ้นตัวไหน "แข็ง" และสามารถ "ชี้นำ" ภาวะตลาดได้
อย่างเคส หุ้น PTT เริ่มสู้สวนขึ้นมา หุ้น IRPC เริ่มสู้ตาม แสดงว่าตลาดหุ้นไม่ได้เสียรูปมวย อย่างนี้ถือว่า "ดี" ยกตัวอย่าง เช่น เมื่อวาน...ตอนท้ายตลาด หุ้น IRPC ยังอยู่ที่ 6 บาท แต่ตีขึ้นมาปิด 6.10 บาท แล้ววันนี้ ดัชนี SET อยู่ในแดนลบ แต่หุ้น IRPC ยังยืนราคาปิดเมื่อวาน หรือบวกนิดๆ แสดงว่า "แข็งแรง" อย่างนี้เราต้อง "จับตา" ถือว่าเจ๋ง
ตรงกันข้ามกับ หุ้น PTTEP คือ ยืนราคาต่ำ เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นขึ้น แต่มันไม่ขึ้น วันนี้หุ้นลบ มันลบตาม ภาพอย่างนี้ "ไม่ดี" เราก็ต้องเก็บข้อมูลเอาไว้ ทุกวันๆ
เสี่ยยักษ์ สรุปให้ฟังว่า การเล่นหุ้นก็คล้ายกับการค้าขาย เราต้องรู้จัก "เลือกสินค้า" เข้าร้าน ต้องค่อยๆ ดูว่า หุ้นตัวไหนกำลังจะเป็นที่นิยม ซื้อได้ช่วงไหนราคาไม่แพง และพฤติกรรมของมันเป็นอย่างไร?
ที่จริงแล้ว หุ้นแต่ละตัวจะมี "นิสัยสันดาน" ของมัน ก็คือ ชื่อ ชั้น นามสกุล แซ่ ของมัน ยกตัวอย่าง หุ้น HEMRAJ ตัวนี้ "เคี่ยวมาก" ต้องเล่นดวลกับเขาเลย 1-2 ช่อง (1% กว่า) เขาก็เอากำไรแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าจะอยู่ในวงการนี้ เราต้องรู้ให้มากๆ
หรืออย่าง หุ้น TPIPL ใช้ได้ เพราะมีคนดูแล "มีวอลุ่ม" ราคาบางช่วงแข็ง...ไม่ลง หาจังหวะเล่นรอบได้ เป็นต้น
อีกเกร็ดความรู้หนึ่งที่ เสี่ยยักษ์ ไขปริศนาให้เข้าใจ ก็คือ การตั้ง Bid (เสนอซื้อ) และ Offer (เสนอขาย) หลอกกันได้อย่างไร?
โดยปกติ ถ้าเราเห็น การตั้งขาย "ไม้ใหญ่ๆ" ถ้าอยู่ฝั่งขาย (Offer) คนที่เห็นก็มักจะใจไม่ดี ซึ่งวอล่ม Offer ไม่ค่อยหรอก...มักจะขายจริง แต่ฝั่ง Bid มันหรอกกันได้
เช่น หุ้น BROCK (ก่อนปรับพาร์จาก 5 บาทเหลือ 1 บาท) มี Bid ช่องบน 6.50-6.60 บาท 1 ช่องวางซื้อ (Bid) ไว้ 7 แสนกว่าหุ้น นั่นคือ เขากลัว "ลง" เป็นการ "หนุน" เพื่อให้คนซื้อตาม แต่ถ้ามีคนเสนอซื้อเข้ามา อยากซื้อเท่าไรก็มีของ (หุ้น) ขายให้ อย่างนี้เป็นต้น
"แต่ถ้าเป็น "หุ้นดี" ให้สังเกตว่า มักจะมี Bid วางซื้อไว้น้อย แต่ฝั่ง Offer วางขายไว้เยอะ โดยปกติของ "หุ้นดี" ช่วงเก็บของ หรือ ช่วงสะสมหุ้น รายใหญ่จะตั้ง "เสนอซื้อ" ไว้ไม่เยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้
...เพราะอะไร ถ้ามีคนขายออกมา เขารอรับ...เขารอเก็บเข้าพอร์ต ซึ่งภาวะอย่างนี้ คือ ช่วงที่ดัชนี SET ประมาณ ตี 4 ตี 5 คนยังเล่นหุ้นไม่เต็มตัว เขาจะรอรับ แต่ไม่ไล่ราคา" นี่เ

=======

ตอนที่ 20 เล่นหุ้นสไตล์ "พญาอินทรี"

วิชัย วชิรพงศ์

"เฮียประธาน เขาเป็นเจ้าของคอร์ตแบดมินตัน อยู่แถวถนนบางรัก ฉายาเขา คือ "พญาอินทรี" ถ้าวันไหนที่พวกเรา "เละ" หรือ "เจ๊ง" กันหมด เขาจะบินมาเลย..เขาจะมาซื้อหุ้น"
การเล่นหุ้นให้ประสบความสำเร็จ "นิสัย" และ "พฤติกรรม" ของคนเล่นหุ้น ถือว่ามีส่วนสำคัญเช่นเดียวกัน
"เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ นำประสบการณ์ที่พบมาจริงในตลาดหุ้น ในช่วง 20 ปี มาถ่ายทอดให้ฟัง โดยระบุถึง "นิสัยคน" ที่ประสบความสำเร็จ และล้มเหลว ดังนี้...
คนแรก..คนนี้อายุมากแล้ว แต่ "ไม่ยอมปรับตัว" ประกอบอาชีพประสบความสำเร็จมีเงินหลายสิบล้านบาท สุดท้ายก็มาล้มเหลวในตลาดหุ้น
คนที่สอง..เป็นคนที่มีระเบียบวินัยมาก ศึกษาข้อมูลตลอดเวลา มีความมั่นคง คนนี้เป็นอดีตนักแบดมินตันทีมชาติ เขาก็ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น
คนที่สาม..ไม่เก่งอะไรเลย อ่อนน้อมถ่อมตน บริการคนอื่นตลอดเวลา ทุกคนรัก ไม่เคยเอาเปรียบเพื่อน คนนี้ก็ประสบความสำเร็จได้ เพราะทุกคนเอื้อเฟื้อ(บอกหุ้น)เขา ไม่มีใครไปหลอกเขา
คนที่สี่..ไม่ประสบความสำเร็จ นิสัยตรงกันข้ามคนอื่นตลอดเวลา เพื่อนบอกแบบนี้มันก็เถียงว่าต้องเป็นแบบนั้น เป็นคนไม่คิดอะไรลึกๆ ชอบสวนชาวบ้าน คือ เหรียญมันมี 2 ด้าน พูดเข้าข้างตัวเองยังไงก็ได้ ไม่เคยโทษตัวเอง คนนี้เจ้าของฉายาว่า "รู้อย่างงี้..." มีเงินหลายสิบล้านบาทเข้ามาตลาดหุ้น ตอนนี้ก็เหลือไม่เยอะ
คนที่ห้า..ทำการบ้านตลอดเวลา(แอบ)เช็คพอร์ตคนอื่นตลอดเวลา ชอบคุยกับมาร์เก็ตติ้งของรายใหญ่ เพื่อแอบดูพอร์ตคนอื่น คนนี้ก็ประสบความสำเร็จ แต่เขาตีกอล์ฟคนเดียวไม่มีเพื่อน ขนาดนั่งกินข้าวกับมาร์เก็ตติ้งยังหารค่าอาหารกันเลย นี่เขาก็ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน
คนที่หก..ย้ำคิดย้ำทำ เสียดายตลอดเวลา คิดแล้วคิดอีก เป็นคนละเอียด ไม่เอาเปรียบเพื่อนฝูง คนนี้ก็ประสบความสำเร็จได้
"นี่ผมเล่าให้ฟังถึงนิสัยของแต่ละคนเพื่อจะบอกว่า คนแต่ละคนนิสัยไม่เหมือนกัน และก็มีช่องทางประสบความสำเร็จของแต่ละคน แล้วแต่เราจะเลือกทางเดินแบบไหน ซึ่งผมเชื่อมั่นว่า ไม่เกินความสามารถของทุกคน"
เสี่ยยักษ์ ยังเล่าถึง ความเหนือชั้นของอดีตเซียนหุ้นคนหนึ่ง ชื่อ "เฮียประธาน" เขาเป็นเจ้าของคอร์ตแบดมินตัน อยู่แถวถนนบางรัก ฉายาเขา คือ "พญาอินทรี" ถ้าวันไหนที่พวกเรา(เสี่ยยักษ์ และเพื่อนๆ ในกลุ่ม) "เละ" หรือ "เจ๊ง" กันหมด เฮียประธาน จะบินมาเลย "เขาจะมาซื้อหุ้น"
"สมัยก่อน ผมยกย่องเขามากว่า นี่คือ สุดยอดของ "เสือ" ตัวจริง คือเขารวยอยู่แล้ว แต่เขาจะไม่มาเล่นหุ้นทุกวัน ถึงแม้จะไม่มาตลาดหุ้น แต่เขาจะติดตามหุ้นอยู่ที่บ้านเป็นประจำ เวลานี้เขาก็ยังเป็นอย่างงั้นจริงๆ เล่นหุ้นอย่างนี้ก็ประสบความสำเร็จได้"
อีกคนหนึ่งที่ เสี่ยยักษ์ ยกตัวอย่างให้ฟังด้วยความชื่นชม เขาชื่อ "สุวิทย์" เป็นอดีตนักแบดมินตันทีมชาติ คนคนนี้ มีระเบียบวินัยมาก เวลาไม่ซื้อ คือไม่ซื้อ ถ้าเขามองเศรษฐกิจไม่ดี เขาจะไม่เล่นหุ้น(เลย) นี่คือ หลักการที่ถูกต้อง
"อย่างสุวิทย์ เขาจะรอให้เกิดวิกฤติก่อน(หุ้นตกเยอะๆ)นานแค่ไหนเขาก็รอได้ วันที่เกิดวิกฤติ เขาจะมาซื้อหุ้น ตอนนี้ ก็น่าจะมีเงินเป็นร้อยล้าน"
เมื่อถามถึงการลงทุนสไตล์ "หมอยง" ..ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม นักลงทุนรายใหญ่ระดับพันล้านบาท
เสี่ยยักษ์ บอกว่า หมอยง จะมีจิตวิทยาการลงทุนสูง ถ้าตลาดหุ้นตกลงมาเยอะๆ เขาซาวด์เสียงว่า ถ้านักลงทุนรายใหญ่ทุกคน "กลัว" กันหมด แสดงว่า พวกคุณเพิ่ง "โดน" (ขาดทุน) มา คุณเพิ่ง Cut Loss มา เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะขายอีกก็มีไม่มาก "เขาจะซื้อ"
"แต่สไตล์การลงทุนของผม กับหมอยงจะต่างกัน หมอยงจะเล่นหุ้นเป็นรอบ(เล็กเล่นเร็ว)แต่ของผมจะรอ "รอบใหญ่" ขอทีเดียวหนักๆ ลักษณะใส่เต็มๆ ไปเลย ถ้าทุกคนกลัวกันหมด เครื่องมือเครื่องไม้ทางเทคนิคส่งสัญญาณซื้อ ผมก็เข้า ถ้ายัง..ผมก็รอนิ่งๆ"
เสี่ยยักษ์ บอกว่า อยู่ในวงการนี้มา 20 กว่าปี เห็นพฤติกรรมการเล่นหุ้นของคนเปลี่ยนไม่ค่อยได้ ใครนิสัยมายังไง บุคลิกยังไง วิธีการมันจะเป็นอย่างนั้น ซึ่งคนที่จะประสบความสำเร็จ มันแล้วแต่สไตล์คน แต่คนที่อยู่รอดได้ มีแค่ประเภทเดียว คือ "คนที่ปรับตัว"
นอกจากนี้ คนที่จะ "อยู่รอด" บนเวทีนี้ได้อย่างตลอดรอดฝั่ง เสี่ยยักษ์ ย้ำนักย้ำหนาว่า ข้อสำคัญที่สุด คือ "ถึงเวลาขาดทุน..คุณต้องกล้าขาย" ถ้าคุณทำได้ "คุณจะรอด"
พร้อมทั้งยังเล่าถึง "นักพนัน" ที่อยากมาเอาดีในตลาดหุ้นว่า คนที่ชอบเล่นการพนัน แล้วมาเล่นหุ้น ก็ "เจ๊ง" ได้ง่ายๆ
"ผมเคยเห็นนักเล่นหุ้นที่เป็นนักพนัน เอาทุกอย่าง เห็นมาเยอะ "หมดตัวทุกคน" ไม่เหลือเลย มีคนหนึ่ง เมื่อก่อนเคยมีเงิน 30 กว่าล้านบาท เล่นทุกอย่าง ฟุตบอลก็เล่น หุ้นก็เล่น บ่อนการพนันก็เข้า สุดท้ายแม้แต่ชีวิตครอบครัวเขาก็ล้มเหลว
...ชีวิตเขาพนันทุกอย่าง มีเงิน 20-30 ล้านบาท เคยเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าในประตูน้ำ ตอนนี้ มาเช่าบ้านอยู่ราคา 2,000 บาท จุดเสีย..ของคนประเภทนี้ คือ เขาจะยืมเงินทุกคน แล้วเขาจะไม่มีโอกาสแก้ตัว ทุกอย่างกลับมาที่เครดิต ถ้าคุณไม่มีเครดิต ก็ไม่มีใครช่วยเหลือคุณ นี่คือ ความจริง" เสี่ยยักษ์ สรุปถึงนิสัยของคนเล่นหุ้นแต่ละประเภทให้ฟัง


=========

ตอนที่ 21 ตลาดแบบไหน "เล่นแล้วได้ตังค์"

กูรูหุ้นพันล้าน : วิชัย วชิรพงศ์

การอ่านอารมณ์ตลาด ถ้า "รายย่อย" สงบเสงี่ยมเจียมตัว "ฝรั่ง" ไม่เข้า บอกได้เลยว่า เล่นหุ้นไม่ได้ตังค์ ถ้าจะเล่นหุ้นให้ได้กำไร รายย่อยต้องมีจุดมั่นใจ นักเก็งกำไรแห่กันเข้ามาเล่นตามน้ำ ตลาดแบบนี้ "ได้ตังค์"

ตลาดหุ้นแบบไหนที่เล่นหุ้นแล้วไม่ค่อยได้ตังค์...? (น่าเบื่อ)
"เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ บอกว่า กรณีที่ "รายย่อย" สงบเสงี่ยมเจียมตัว และ "ฝรั่ง" ไม่เข้า ตลาดหุ้นช่วงนั้นจะเงียบเหงา (ไม่น่าเล่น) บอกได้เลยเล่นหุ้นไปก็ไม่ได้เงิน อยู่นิ่งๆ ดีที่สุด ถ้าคิดให้เป็นหลักวิทยาศาสตร์ อธิบายได้ว่า เพราะเงินไม่มีมาหมุน "ทำกำไรยาก"
"ถ้าจะเล่นหุ้นแล้วได้เงิน "รายย่อย" ต้องมีจุดมั่นใจ นักเก็งกำไรต้องตาม (น้ำ) กันแหลก! หุ้นมันจะวิ่งจู๊ด หรือ ขึ้นไปทำนิวไฮ (จุดสูงสุดใหม่) ได้"
เสี่ยยักษ์ อธิบายว่า ช่วงที่หุ้นขาขึ้น มันจะมีจังหวะ "พักตัว" จากนั้นให้สังเกตว่า มักจะมีข่าวดีมา "หนุน" จังหวะสอง ที่ทุกคนมองว่า ราคามันวิ่งขึ้นไปทำ "นิวไฮ" ช่วงนี้แหละ นักเก็งกำไรจะแห่ตามกันแหลก!!
ทั้งนี้ สำหรับช่วง "พักตัว" ในหุ้นพื้นฐานดีๆ จะใช้เวลาค่อนข้างนาน ไม่ค่อยรีบร้อนขึ้น (จะตรงกันข้ามกับหุ้นปั่น ที่รีบร้อนขึ้น) ยกตัวอย่าง หุ้น ปตท. เวลาเขาจะทำหุ้นตัวนี้ เขาจะต้องค่อยๆ เก็บ บีบให้เหลือแต่คนที่ "ใจถึง" จริงๆ พอทุกคนหมดแรง มันก็จะ "วิ่ง"
"ยิ่งหุ้นตัวใหญ่ ถ้าเขารู้ว่าตอนไอพีโอ มีคนไปแย่งกันจอง (หุ้นไม่พอขาย) พอเข้าตลาดมาปั๊บ! เขาจะพยายามกดราคา เพื่อกดลงมารับต่ำๆ ถ้าวันแรกเปิดมาสูง เขาก็จะเทรดให้หุ้นต่ำลงมาก่อน
...แต่คุณดู พอมันเก็บของ (สะสมหุ้น) ได้พอแล้ว สังเกตว่า "วอลุ่มพีค" (เก็บของได้แล้ว) ราคาปรับตัวลงมาเสร็จ คราวนี้ ปริมาณซื้อขายจะไม่ได้เยอะ สภาพคล่องจะเริ่มตึงขึ้น ราคาจะค่อยๆ ขยับขึ้นช้าๆ บางทีก็เล่นไซด์เวย์อยู่นาน จนคนซื้ออึดอัด ใครทนไม่ไหวก็ "คืนของ" ให้เขา แต่พอเขารวบรวมหุ้นได้เต็มที่แล้ว พอ MACD (ระยะเดือน) ตัดขึ้น ทีนี้ มันวิ่งขึ้นเร็วมาก"
เสี่ยยักษ์ อธิบายว่า ส่วนตัวชอบใช้กราฟ MACD ระยะเดือน (Month) เป็นดัชนีชี้นำหลัก สำหรับการลงทุน "รอบใหญ่ๆ" ที่ผ่านมาก็ใช้ได้ผลดีมาตลอด แต่ถ้ามาถามรายละเอียดเกี่ยวกับทฤษฎี "ผมไม่รู้"
แต่รู้ว่า ถ้า MACD ทะลุ "ศูนย์" ลงไปเลย "ไม่ดี" แต่ถ้า MACD อยู่ต่ำกว่าศูนย์ มันจะขึ้นมาที่ศูนย์ก่อน จากนั้นหุ้นจะปรับตัวลงอีกรอบ คือ มีการพักตัวรอบใหญ่ แล้วถ้ามันกลับมาที่ "ศูนย์" อีกที บีบตัวแล้ว "ตัดขึ้น" คราวนี้หุ้นจะเป็นขาขึ้น "รอบใหญ่"
เสี่ยยักษ์ บอกว่า ระหว่างการ "ก่อตัว" ของหุ้น จากประสบการณ์ ดูกราฟราคาเราจะรู้เลยว่าถ้าใครดูเป็น (รู้จริง) กราฟไม่มีหลอก อย่างเช่น หุ้น ATC ถ้าจับจุดถูก MACD ระยะเดือน ตัดขึ้นชัดเจนช่วงปลายปี 2545 สัญญาณดีมาก แต่ก็ต้องทำการบ้านด้านปัจจัยพื้นฐานประกอบด้วย ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้ารีบเข้าไปซื้อ
"ตอนนั้นทั้งกราฟและข้อมูลพื้นฐาน ยืนยันในทิศทางเดียวกัน เรารู้เลยว่าหุ้นตัวนี้มันจะ "เทิร์นอะราวด์" พอวงจรปิโตรเคมีมันมา (ปี 2546) หุ้นขึ้นมหาศาลเลย"
หรืออย่างหุ้น ปตท. ตัว MACD ระยะเดือน มันตัดลงมาตั้งแต่ต้นปี 2549 แล้ว หุ้น ปตท.ค่อยๆ ลงมาจาก 270 บาท ลงมา 200 บาท ช่วงนี้รู้เลยว่ามันกำลังพักตัว (หลังจากขึ้นมาต่อเนื่องยาวนาน 3 ปี ช่วงปี 2546-2548)
"ช่วงที่ MACD ของหุ้น ปตท. ตัดลงมา ทั้งสองเส้นมันยัง "ถ่าง" กันอยู่เยอะ ผมก็รอให้ MACD มันบีบ พร้อมที่จะตัดขึ้นก่อน เราถึงจะมีจุดมั่นใจเข้าซื้อ (เพื่อเล่นรอบใหม่) เรารู้ว่าพื้นฐานของหุ้นดีมากอยู่แล้ว แต่หุ้นทุกตัวจะต้องมีระยะพักตัว บางครั้งอาจจะกินระยะเวลานานหลายเดือน บางครั้งครึ่งปี บางตัวนาน 2-3 ปี"
เสี่ยยักษ์ อธิบายถึงระยะพักตัวของหุ้นเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่หุ้นบางตัว "พักตัวนาน" แสดงว่า มี "คนเจ็บ" กับหุ้นตัวนั้นเยอะ มันต้องใช้เวลา "รอ" ผลการดำเนินงาน หรือ ข่าวดี หุ้นถึงจะมีแรงกลับมาสู้ใหม่ แต่ถ้าเป็นหุ้นที่ "กำไรดี" อยู่แล้ว ระยะพักตัวก็อาจจะไม่นานมาก
วิธีการในการวิเคราะห์หุ้นระดับ "ลึก" ของเซียนหุ้นรายนี้ มีขั้นตอนอย่างไร
"สมมติ ผมจะวิเคราะห์หุ้น ปตท. เรารู้ว่ากำไรสุทธิปีนี้ ไม่น่าจะหนี หุ้นละ 30-35 บาท เทรดกันที่ค่า พี/อี ต่ำแค่ 6-7 เท่า เราก็ประเมินว่า ถ้าราคาน้ำมันในตลาดโลกยังอยู่สูงอย่างนี้ไปอีกหลายปี หุ้นปตท. ยังไงก็ต้องดี แต่หุ้นลงมาเหลือ 210-220 บาท คราวนี้เราก็รอเวลาให้กราฟ MACD ยืนยันการ "ตัดขึ้น" ก่อน เราค่อยเข้าไปซื้อ เปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงก็จะไม่สูง ระยะเวลา "รอ" ราคาวิ่งขึ้นก็ไม่นานด้วย"
มันเป็นสูตรวิธีคิดว่า การที่ MACD มันบีบ แล้ว "รอ" ตัดขึ้นเหนือ "ศูนย์" ราคาหุ้นอยู่ในเขต "Oversold" คือ อยู่ในเขตขายมากเกินไป จนข่าวร้ายไม่มีผลต่อราคา ไม่มีทางร้ายไปกว่านี้แล้ว คนที่ติดหุ้นอยู่ จะให้ขายก็ไม่อยากขายขาดทุนมาก จะให้บุ่มบ่ามรีบซื้อ ก็ยังไม่กล้าซื้อ นิ่งๆ เฉื่อยๆ ชาๆ
"จุดนั้น คือ จุดที่อันตรายที่สุด แต่เป็น...จุดที่ปลอดภัยที่สุด คือประมาณ ตี 5 ถึง ตี 5 ครึ่ง จ่ายกับข้าวสบายๆ ไม่ต้องแย่งกับใคร ถ้าอยากจะรวย คุณต้องรอจังหวะนี้ให้ได้"


=======

ตอนที่ 22 รู้จักคำว่า "รอคอย"

กูรูหุ้นพันล้าน : วิชัย วชิรพงศ์

ถ้าเราเทรดหุ้นทุกวัน สมองมันไม่มีจุดคิด การตัดสินใจบ่อยมันพลาดได้ง่าย คุณต้องรอจังหวะ รอให้เครื่องมือทางเทคนิคยืนยัน แล้วทุกคนเริ่มกลัวกันหมด ตรงนั้น คือ จุดที่ปลอดภัยที่สุด ซื้อเสร็จก็ใส่ปี๊บเอาไว้
ความสำเร็จที่ยากที่สุด อาจไม่ใช่การเดินทางเพื่อค้นหา "กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ" เพราะพื้นฐานแห่งความสำเร็จ แท้ที่จริงแล้ว คือ การเอาชนะจิตใจของตัวเองให้ได้เสียก่อน
ในตลาดหุ้น การ "รู้เขา" อย่างเดียว มิอาจไปถึงเป้าหมายได้ ต้อง "รู้เรา" อย่างถ่องแท้ด้วย ไม่เช่นนั้นเงินที่กลาดเกลื่อนอยู่ในตลาดหุ้น ก็ไม่สามารถ "หยิบ" ขึ้นมาเชยชมได้
คำจำกัดความสั้นๆ ที่ "เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ เน้นย้ำ ก็คือ ถ้าอยากจะเล่นหุ้นให้รวย ต้องรู้จักคำว่า "รอคอย" (อดทน) ต้องรอจังหวะ รอรอบของมันให้ได้ แล้วทำไม! จะรอมันไม่ได้ คุณต้องนิ่ง คุณต้องใจเย็นๆ
"ถ้าคุณอยากจะประสบความสำเร็จในอาชีพเล่นหุ้น คุณต้องเป็นมืออาชีพให้ได้ คุณถึงจะอยู่รอด"
เสี่ยยักษ์ บอกว่า "หุ้นในดวงใจ" ไม่ได้มีกันทุกๆ เดือน บางทีต้องรอคอยนานเป็นปี ถึงจะเจอ "รอบใหญ่" สักตัว
สมัยก่อน รายย่อยเป็นใหญ่ในตลาดหุ้น "หุ้นเก็งกำไร" ครองเมือง วางมาร์จิน 30% เล่นหุ้นได้ 100% เล่นกัน "มันส์" สุดๆ แต่สมัยนี้ฝรั่งคุมตลาดหุ้นเราหมดแล้ว ของเรา 100 หัวสมอง เล่นหุ้นไม่ตรงกันเลย แต่ของเขา 10 หัวสมอง เล่นหุ้นตัวเดียวกัน เขาคิดเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ยุคนี้ต้องเล่น "หุ้นพื้นฐาน" ถึงจะมีโอกาส
เสี่ยยักษ์ เล่าว่า วิธีการเล่นหุ้นสมัยก่อน รายใหญ่จะใช้วิธีการ "อมหุ้น" แล้ว "ลาก" ขึ้นยาวๆ ไม่มีตก แล้วเล่นกันทั้งกระดาน รายย่อยจะ "เล่นรอบ" ได้ตลอดเวลา พอออกจากตัวนี้ ถ้าตัวไหนยังไม่ขึ้น ก็เข้าตัวนั้นดักทางไว้ก่อน
ผิดกับยุคสมัยนี้ เล่นหุ้นแบบเดิมไม่ได้แล้ว พฤติกรรมของตลาดเปลี่ยนไปหมด หันมา "เลือกตัวเล่น" (ฝนตกไม่ทั่วฟ้า) ยกตัวอย่างเช่น ถ้า BAY-W1 ขึ้น หุ้นวอร์แรนท์จะขึ้นกันทั้งกระดาน ปาเป้าตัวไหนก็ถูก ผิดกับตอนนี้ BAY-W1 ขึ้นตัวเดียว ตัวอื่นลงหมด เป็นต้น
ในสมัยก่อน ถ้า "เจ้าของหุ้น" อยากให้หุ้นของตัวเองขึ้น เขาจะลากขึ้นไปให้ถึงจุดสุดยอดเลย (เล่นยาว) แต่เดี๋ยวนี้ เปล่า! เจ้าของหุ้นมันคิดแบบว่า จะ "ถอนทุนคืน" เร็วๆ เขาคิดว่า หุ้นอยู่ในกระเป๋าตัวเอง ขายแล้วได้ตังค์เลย จะ (...) ถือนานไปทำไม!
พอเอาหุ้นเข้าตลาด (ขายไอพีโอ) เสร็จ ก็ทยอยปล่อยหุ้นขาย รวยอยู่คนเดียว ใครไปซื้อหุ้นอย่างนี้ ก็ "ซวย" !!! สำหรับหุ้นที่ดี "ผู้บริหาร" หรือ "เจ้าของ" จะต้องไม่เอาเปรียบผู้ถือหุ้น คือ ไม่มีพฤติกรรมทุจริต และต้องดูแลหุ้นของตัวเอง หุ้นอย่างนี้จะมี "รอบเล่น"
เสี่ยยักษ์ กล่าวว่า คนเล่นหุ้นทุกคน จะต้องเคยมีประสบการณ์ "เฉียดรวย" (เจอหุ้นขึ้นรอบใหญ่) มาหมด แต่ทำไม! หลายคนเล่นหุ้นแล้วไม่ได้ตังค์ หรือได้กำไรน้อย
สาเหตุที่คุณไม่ชนะ เพราะเจอแบบไม่มีกลยุทธ์ กล้าๆ กลัวๆ อ่านตลาดไม่ขาด จะซื้อตามก็ไม่กล้า (จะรอให้มันปรับฐานราคาก่อน...สุดท้ายก็ไปซื้อแพง) หุ้นขึ้นนิดหน่อยก็รีบขายตัดกำไรทิ้ง เท่าที่สังเกต...พฤติกรรมอย่างนี้ จะเกิดกับคนที่เทรดหุ้นทุกวัน สมองมันไม่มีจุดคิด เพราะการตัดสินใจบ่อยมันพลาดได้ง่าย ข้อเสียอีกอย่าง คือ ใจไม่นิ่ง
ถ้าจะเล่นหุ้นให้รวย คุณต้องรอจังหวะ รอให้เครื่องมือทางเทคนิคมันพร้อม (ตัดขึ้นก่อน) พื้นฐานหุ้นรองรับ จุดสำคัญ...ถ้าตลาดหุ้นช่วงไหนคนเริ่มกลัวกันหมด "แหยงตลาด" ตรงจุดนั้น คือ "จุดที่ปลอดภัยที่สุด" ซื้อเสร็จก็ใส่ปี๊บเอาไว้เลย "นี่คือ..เคล็ดลับ"
เมื่อสอบถาม เสี่ยยักษ์ ถึง ประสบการณ์ "เฉียดตาย" และ "เฉียดรวย"
"ส่วนใหญ่จะ "เฉียดตาย" (รอด) มากกว่า ยกตัวอย่าง หุ้นธนายง สมัยก่อน 600-700 บาท แล้ววันนี้เป็นยังไงเหลือ "บาทกว่า" หุ้นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ (บงล.) ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปิดกันหมด ดัชนี SET ลงมาเหลือ 200 จุด ถ้าใคร Cut Loss ไม่เป็น ฟันธงเลยว่า "ตาย" หมด"
เพราะฉะนั้น การเล่นหุ้น เราต้องมี "เป้า" ในใจตลอดเวลาว่า ถ้าราคาลงมาเท่าไร? คุณต้องขาย ยกตัวอย่าง วันที่เกิดเหตุการณ์ ตึกเวิลด์เทรดถล่ม (11 กันยายน 2544) วันเดียวโดนไป 26% เรามองว่าเรื่องมันคงไม่จบง่ายๆ ต้องมีการแก้แค้น
"เวลาที่เกิดเหตุการณ์ช็อก! ตลาด ผมจะประเมินว่า จากนี้ไปสถานการณ์จะดีขึ้นกว่านี้มากมั้ย! ถ้าคำตอบ คือ "ไม่มีทาง" นั่นหมายถึงว่า เราต้องยอมขาย (ขาดทุน) ผมมีคติว่า ถึงคราว "แพ้" ก็ต้องยอมแพ้ ต้องกล้าขาดทุน พอเปิดตลาดมาดัชนีดิ่งลงเหว ผมก็รอให้มันรีบาวด์ แล้วก็ขายล้างพอร์ตหมด จำได้ว่าตอนนั้น ขาดทุนไป 20-30 ล้านบาท"
เสี่ยยักษ์ บอกว่า จากประสบการณ์ที่อยู่ในวงการนี้มาอย่างยาวนาน ไม่มีใครที่ซื้อหุ้น "ถูกตัว" หมดทุกครั้ง มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น อาชีพเราต้องมอง "โอกาส" และ "ความเสี่ยง" อยู่ตลอดเวลา ถ้าลงมาถึงตรงไหน คุณต้องตัดสินใจเด็ดขาด

"คนที่พลาดมักจะเป็นคนที่ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเด็ดขาด ไม่เด็ดเดี่ยว แล้วชอบอ้างเหตุผลมากลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเอง...ลองไปคิดดูว่าจริงอย่างที่พูดหรือไม่"


=======

ตอนที่ 23 กลยุทธ์สร้าง "ดีมานด์"

กูรูหุ้นพันล้าน : วิชัย วชิรพงศ์

ถ้าคิดจะ "สร้างราคาหุ้น" แล้วไม่ให้วงแตก มือทำหุ้นที่เป็นมืออาชีพ เขาจะบอกเจ้าของหุ้นว่า คุณต้องโอนหุ้นมาให้ก่อน แล้วต้องเอาเงินมาให้ด้วย...ล้านเปอร์เซ็นต์เลย ถึงจะสำเร็จ !!!

"เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ เล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง สมัยก่อนมี "นักปั่นหุ้นชั้นเซียน" อยู่คนหนึ่ง ชื่อเสียโด่งดัง เขาเกาะกันกับอดีตนักการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งนักการเมืองคนนี้ตอนแรกเล่นหุ้นไม่เป็นเลย ก็มาเข้ากลุ่มกับ "นักปั่นหุ้น" คนนี้
เขาก็ใช้เพาเวอร์ทางการเมืองไปหาหุ้น (เน่าๆ) แล้วเอามา "ปั้น" จนร่ำรวย สมัยก่อนพอได้หุ้นมา วิธีการ เขาจะเอามาแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ แล้วก็ออกหุ้น PP (Private Placement) วิธีนี้ "ฮิตมาก" คือ การเสนอขายหุ้น "แบบเจาะจง" ในราคา "ถูก" ให้กับพรรคพวกตัวเอง แล้วก็เอามาเล่นกันในตลาด แรกๆ ก็เริ่มออกสตาร์ทจุดเดียวกัน หมายถึง ต้นทุนเท่ากัน คุณได้กำไรเท่าไร ทุกคนก็ได้ด้วย คือ "แบ่งผลประโยชน์กันลงตัว"
พอเขาเริ่ม "รู้ทาง" (รวย) คราวนี้ไม่เป็นอย่างงั้นแล้ว ไม่อยากแบ่งใครจะกินรวบคนเดียว พอเขาหาหุ้นมาได้ก็ (ให้นอมินี) เก็บหุ้น PP ราคาต่ำ ไปหมด แล้วก็ไปชักชวนพรรคพวกให้มาช่วยกันทำหุ้น ถ้าใครหลงกลก็ต้องไปซื้อหุ้นราคาแพงต่อจากเขา เล่นกันไปสุดท้ายก็ "วงแตก" ต้องมานั่งทะเลาะกัน
นิทานเรื่องนี้ เสี่ยยักษ์ สรุปให้ฟังว่า ใหญ่กับใหญ่ หรือ เสือกับเสือ อยู่ด้วยกันไม่ได้นาน สุดท้ายก็แตกคอกันเอง
เกี่ยวกับการ "ทำหุ้น" ที่ เสี่ยยักษ์ เคยเกริ่นไปแล้วในบทก่อนๆ คราวนี้มาขยายความให้ฟังเพิ่มเติมว่า...
"หุ้นตัวไหนที่ "เจ้าของ" ไม่ทำ (ยกเว้นหุ้นมวลชน) อย่าหวังว่ามันจะขึ้นได้เอง คิดง่ายๆ มีซัพพลาย (มีหุ้น) แต่ไม่มีดีมานด์ (คนซื้อ) มันจะขึ้นได้ยังไง อันนี้แน่นอนที่สุด ถ้าเจ้าของไม่ร่วมมือด้วย ฟันธงเลยครับ "ไม่มีทาง" หุ้นที่หวือหวาๆ เจ้าของเปิดไฟเขียวให้ทั้งนั้นแหละ"
ที่จริงแล้ว "การปั่นหุ้น" คนภายนอกจะดูเหมือนง่าย แต่ถ้าไม่ไปคุยกับเจ้าของหุ้นก่อน ไม่มีทางเลยครับ เดี๋ยวนี้! เจ้าของลงมาเล่นเองยิ่งน่ากลัว ถ้าคุณไม่ไปคุยกับเขาก่อน แล้วทะเล่อทะล่าไปทำหุ้นเขา โดนโยนหุ้นใส่ คุณอยากได้หุ้นเท่าไร...เอาไปเลย คุณไม่มีทางออก "ยิ่งขาย...ยิ่งตก"
"สมมติ ผมเป็นเจ้าของหุ้นนะ อยากให้หุ้นของผมมีคนมาเล่น ก็ต้องหาคนมาทำหุ้นให้ ผมมีเงินให้คุณ มีหุ้นให้คุณ บอก Target ไปเลยว่า ผมอยากได้ราคาเท่าไร? ถ้าทำถึงเป้าหมายตรงนี้ คุณได้เท่าไร? ถ้างั้นไม่มีใครกล้าเสี่ยง
เพราะอะไรรู้มั้ย! ถ้าคุยกันปากเปล่า ไม่มีหุ้น ไม่มีเงินมาให้ สุดท้ายก็ทะเลาะกันเอง สมมติผมกำลังเล่นขึ้นไปอยู่ดีๆ แต่มีคนโยนหุ้นก้อนใหญ่ออกมา (ล่าสุดเหมือนกรณีหุ้น EMC) วงแตกเลย...เกมโอเวอร์! ใครขายว่ะ! คุยกันแล้วนี่หว่า ถามหน่อยใครมีหุ้นก้อนใหญ่ ถ้าไม่ใช่เจ้าของขายเอง นี่ไง...วิธีการหลอกให้เข้าไปติดกับดัก"
ดังนั้น วิธีที่ได้ผลแน่นอนที่สุด เขาจะ "โอนหุ้น" มาให้ก่อนก้อนหนึ่ง แล้วก็ให้เงินมาอีกก้อนหนึ่ง แล้วให้มืออาชีพเป็นคนทำ แต่ถ้านักข่าวไปถามเจ้าของหุ้น ร้อยทั้งร้อยจะปฏิเสธว่า ไม่รู้เรื่อง "ผมมีหน้าที่บริหารอย่างเดียวครับ" เชื่อเถอะ! ตอบอย่างนี้ทุกราย
เพราะฉะนั้น ถ้าคิดจะ "สร้างราคาหุ้น" แล้วไม่ให้วงแตก มือทำหุ้นที่เป็นระดับมืออาชีพ เขาจะบอกเจ้าของหุ้นว่า คุณต้องโอนหุ้นมาให้ก่อน แล้วต้องเอาเงินมาให้ด้วย และต้องสัญญากันว่าระหว่างทางตรงจุดไหนขายได้ ตรงไหนห้ามขาย...เชื่อผมเถอะ! ล้านเปอร์เซ็นต์เลย ต้องใช้วิธีนี้ถึงจะสำเร็จ
เมื่อเรารู้เกมว่า หุ้นตัวนี้เป็น "หุ้นปั่น" ล้านเปอร์เซ็นต์ เสี่ยยักษ์ แนะนำว่า อย่างเราเล่นหุ้นเก็งกำไร คุณต้องเล่นเป็น "ตัวประกอบ" อย่าเล่นเป็น "พระเอก" เพียงแต่ว่า ถ้าเขาปั่นกัน เราก็เล่นน้อย ถ้าอยากเล่นเยอะต้องเล่นหุ้นมวลชน หลอกกันไม่ได้
โดยยกตัวกรณีของหุ้น NMG-W2 ช่วงใกล้หมดอายุ ช่วงต้นปี 2550 หุ้นตัวนี้ถูกลากราคาจาก 0.24 บาท ขึ้นไป 2.40 บาท ภายในเวลาเพียง 10 วัน
ในวงการรู้ว่า ใคร...? เป็นคนมาเล่น NMG-W2 คนนี้ปั่นหุ้นไม่ต้องมีสตอรี่อะไรเลย เขาเคยลากหุ้นบางตัวจาก 1-2 บาท ให้วิ่งไป 7-8 บาท ได้เลย ถือว่าใจถึง และมือถึงที่สุดในวงการ ไม่มีใครเกิน "เสี่ย" คนนี้
ตอนนั้น หุ้น NMG-W2 แปลงสภาพ 14 บาท ราคาหุ้นแม่ NMG อยู่ที่ 8.50 บาท เล่นข่าวได้เวลาช่อง 9 อสมท. เขาเล่นหุ้นแม่ขึ้นมาที่ 11 บาท แต่ลาก NMG-W2 ขึ้นไป 900% ใกล้หมดอายุแล้ว เล่นกันขึ้นไปได้ยังไง
"ตอนนั้น มีคนโทรศัพท์มาถามผมว่า ติด NMG-W2 ที่ "บาทกว่า" จะทำยังไงดี ผมบอกว่า มันจะหมดอายุอยู่แล้ว ยังไงคุณก็ต้องทิ้งแล้ว เขาถามว่าจะขายยังไงหมด ผมบอกว่า คุณก็ขายแบบเหวี่ยงแห (กระจาย) ซิ! พอขายหมดที่ 1.20 บาท เขาลากขึ้นไป 2.40 บาทเลย
ถามว่า ถ้าคุณเป็นรายย่อยจะเล่นหุ้นประเภทนี้ยังไง ผมจะยกตัวอย่าง กลยุทธ์ที่นักลงทุนรุ่นน้องที่เล่นหุ้น NMG-W2 ให้ฟัง ...คนนี้ที่จริงมันเป็นรายใหญ่พอสมควร มันมีโทรศัพท์ 4 เครื่อง สั่งซื้อกระจาย 2,000 หุ้น 2,000 หุ้น 2,000 หุ้น กระจายออเดอร์ (เป็นหางว่าว) คือ เขาพยายามแตกออเดอร์ให้ย่อยๆๆ ไม่อยากให้รายใหญ่จับได้ วิธีนี้เขาก็หาเงินใช้ได้เรื่อย" นี่เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับในการลงทุน "หุ้นปั่น" ที่ เสี่ยยักษ์ เล่าให้ฟัง


===

กูรูหุ้นพันล้าน : ตอนที่ 24 รังเสือ..ถ้ำมังกร

ภาษิตโบราณ กล่าวไว้ว่า "เสือ 2 ตัว ไม่อยู่ถ้ำเดียวกัน" คำๆ นี้ เป็นจริงอย่างไร
"เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ อธิบายว่า โดยธรรมชาติ "ใหญ่กับใหญ่" จะอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน..เชื่อผมซิ!!! มันเป็นอย่างนี้จริงๆ สุดท้ายมันก็จะ "ขี่" (เอาเปรียบ) กันเอง
-----------------------------
: พูดตรงๆ ผมเคยเล่นหุ้นปั่น วันที่ผมขายหมด บางคนไม่ได้ขาย ผมเสียเพื่อนไปก็หลายคน เสียน้องไปก็หลายคน สุดท้ายมันไม่ได้อะไรขึ้นมา มันไม่คุ้มหรอก..เชื่อผมซิ!!!
-----------------------------
นอกจากนี้ การเข้าไปเทรดหุ้นกับโบรกฯ ไหน เสี่ยยักษ์ จะดูว่าโบรกฯ นั้นมี "พอร์ตเล่นหุ้น" ด้วยรึเปล่า! ถ้า "มี" โดยส่วนตัวจะไม่ค่อยชอบไปเทรดหุ้นที่นั่น เพราะคิดแง่ลบไว้ก่อนว่า "เขาจะดักกินเรา" (รู้ความเคลื่อนไหวรายใหญ่) ส่วนโบรกฯ ไหน ที่เห็นรายใหญ่ไปรวมตัวกันมากๆ แสดงว่าเขาจับมือกันแน่นแล้ว
เสี่ยยักษ์ ยังเล่าถึงวิธีการเอาเปรียบ (ขี่) กันในวงการรายใหญ่ ที่เจอมากับตัวเอง
"คุณคิดว่ามาร์เก็ตติ้งเขาไม่มีอินไซด์เหรอ ผมเคยทะเลาะกับคนบางคน เขาไปซี้กับมาร์เก็ตติ้งของผม เขาก็เป็นรายใหญ่เหมือนกัน โดยใช้วิธีเลี้ยงมาร์เก็ตติ้งไว้หลายคน หลายโบรกฯ กลางคืนก็พาไปเที่ยว พาไปกินเหล้า แล้วก็บอกมาร์เก็ตติ้งของผมว่า เวลาเสี่ยยักษ์จะซื้อหุ้นอะไร ก็ให้สั่งซื้อให้เขาก่อน
เขาจะสั่งประมาณว่า ถ้าพี่ยักษ์ซื้อหุ้นตัวนี้ 10 ล้านหุ้น ซื้อให้เขาก่อนเลย 2 ล้านหุ้น เอาเปรียบกันอย่างงี้เลย ผมจะบอกให้ว่าอยู่ในวงการนี้นานๆ ยิ่งคุณเป็นรายใหญ่ จะมีพวกที่จ้องหาผลประโยชน์จากคุณ มันขี่กันซึ่งๆ หน้า เวลาที่ผมจะขายหุ้น ก็สั่งว่าให้ขายของเขาก่อน แล้วค่อยขายให้ผม"
กรณีที่ "ใหญ่กับใหญ่" จะอยู่ "รัง" เดียวกันได้ เขาต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน
"อย่าง "ผม" กับ "ปู่" (เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล) เล่นหุ้นห้องวีไอพี อยู่ติดกัน ต่างคนต่างไม่รู้พอร์ตกัน พูดจริงๆ ด้วยศักดิ์ศรี (ที่เสมอกัน) เขาก็ไม่แอบถามมาร์เก็ตติ้งผม ส่วนผมก็ไม่แอบถามมาร์เก็ตติ้งเขา อย่างงี้..ถึงจะอยู่ด้วยกันได้
แต่เวลาเรานั่งกินข้าวเที่ยงด้วยกัน (ลูกค้าวีไอพี โบรกฯ จะจัดอาหารกลางวันให้มานั่งรับประทานร่วมกัน) เราก็คุยกัน เขาอาจจะถามว่าหุ้นตัวนี้ วิชัย (เสี่ยยักษ์) เล่นมั้ย! บางที ผมก็อาจจะถามว่า ตัวนี้ ปู่ ซื้อมั้ย! ถ้าเห็นแนวทางเดียวกันก็อาจจะซื้อเหมือนกัน
แต่หลังๆ ผม กับ ปู่ วิธีการเล่นหุ้นจะต่างกันมาก สมัยก่อนเราจะเล่นหุ้นทางเดียวกัน (ออกแนวเก็งกำไร) ถ้าซื้อด้วยกันหุ้นตัวนั้นจะขึ้นเยอะ แต่หลังๆ พอผมมาสำเร็จกับวิธีการเล่นหุ้นอีกแบบหนึ่ง หันมาเน้น "หุ้นมวลชน" ปู่ ก็จะไปทาง Value Investor คือ เขาจะเล่นหุ้นกระจายเป็น 10-20 ตัว ไม่เล่นกระจุกตัวเหมือนสมัยก่อน เวลาหุ้นขึ้น มันก็ไม่แรงเหมือนก่อน"
ในยุคที่ยังเล่นหุ้นเก็งกำไร เสี่ยยักษ์ ย้อนเล่าอดีตว่า รายใหญ่ๆ จะเล่นหุ้นทางเดียวกันหมด ในลักษณะเกาะกลุ่มกันเล่น เรียกว่า "ก๊อบปี้หุ้น" กันเลย อย่างหุ้น SHIN-W1 สมัยก่อนจะเฮโล! กันเข้าไปเล่น แต่เดี๋ยวนี้ทุกคนต่างสำเร็จวิชาคนละวิชา เวลาคิดอะไรจะไม่ค่อยเหมือนกันแล้ว
"ตั้งแต่ยุค SHIN-W1 ผ่านมา ก็แบ่งกลุ่มกันออกมา พอนานๆ ไป ต่างคนต่างค้นหาแนวทางตัวเอง จุดเปลี่ยน! เป็นเพราะว่าเมื่อก่อนรายย่อยใหญ่กว่าต่างชาติเยอะ เดี๋ยวนี้ พลังรายย่อยลดลง สถาบันใหญ่ขึ้นมา ต่างชาติคุมตลาด รายย่อยก็แทบจะไม่มีความหมาย ชี้นำตลาดไม่ได้ ทุกคนก็เริ่มเปลี่ยนวิธีการเล่นหุ้น
อย่างกลุ่มผม คือ เราเล่นด้วยกัน พอดัชนี SET ตกลงมา กลุ่มนี้ก็ขาดกำลัง หลายคนติดหุ้น แต่ยังมีวงเงิน (กู้) พอเล่นได้ แต่ภาวะตลาดไม่เอื้อ ทุกคนก็ไม่อยากเล่น กลุ่มที่เคยมีพละกำลังก็สลายกำลังไปหมด ผิดกับเมื่อก่อน พอบอกว่าจะเล่นหุ้นตัวไหนใส่กันไปยิ่งกว่าพายุ หุ้นนี่วิ่งแรงเลย พอช่วงหลังๆ คุยกันว่าจะเล่นหุ้นตัวนี้ อีกคนบอกว่าไม่เอาดีกว่า มันไม่ได้แตกคอกัน แต่ไม่แข็งแรงอย่างเดิมอีกแล้ว"
เสี่ยยักษ์ สรุปว่า ในที่สุดวิธีการลงทุนก็เปลี่ยนกันไปหมด "เสี่ยปู่" ก็ไปสำเร็จวิชา "เล่นหุ้นมูลค่า" เขาก็ไปทำ Company Visit ไปคุยกับผู้บริหาร ส่วนตัวผมก็เปลี่ยนสไตล์ คือ "รอเล่นรอบใหญ่" จะให้จับปลาซิวปลาสร้อย (หุ้นเก็งกำไร) เหมือนสมัยก่อน ไม่ค่อยเอากันแล้ว..แต่ทุกวันนี้ ก็ยังมีกลุ่มรายใหญ่ที่ไปรวมตัวอยู่กับโบรกเกอร์บางแห่ง เขาก็ยังชอบ "เล่นข่าว" (ไล่ราคาหุ้น) อยู่ คือวิธีคิดมันไม่เหมือนกัน
เมื่อถามว่าในวงการเล่นหุ้น "รายใหญ่" จะลิ้งค์ถึงกันหมดหรือไม่!!
"ส่วนใหญ่จะรู้จัก (ชื่อเสียง) กันว่าใครเป็นใคร อยู่ที่ไหน แต่บางคนก็ไม่เคยเจอตัวกัน"
เสี่ยยักษ์ ย้ำว่า โบรกเกอร์ที่เล่นหุ้นอยู่ทุกวันนี้ มีรายใหญ่ที่สุดอยู่ 2 คน "ผม" กับ "ปู่" (ที่เล่นใหญ่ระดับพันล้าน) แต่บอกได้เลยว่า เราไม่เคยเอาเปรียบน้อง มีข่าวอะไรดีๆ ก็บอกหมด อย่าง "ยะ" มีเงินกว่าล้านบาท เขาก็แฝงตัวเข้ามาในกลุ่ม เราก็ให้โอกาสทุกคน
"พูดตรงๆ ผมเคยเล่นหุ้นปั่น วันที่ผมขายหมด บางคนไม่ได้ขาย ผมเสียเพื่อนไปก็หลายคน เสียน้องไปก็หลายคน สุดท้ายมันไม่ได้อะไรขึ้นมา สุดท้ายผมต้องถามคนใกล้ตัวว่า พี่ขาดทุนเท่าไร น้องขาดทุนเท่าไร ผมจ่ายเงินให้ก้อนหนึ่งไปแบ่งกัน แล้วพวกต่อที่ 3 ต่อที่ 4 ที่บอกต่อๆ กัน เจ๊งหุ้นกันเป็นแถบๆ อย่างนี้เราเสียชื่อเสียง มันไม่คุ้มหรอก..เชื่อผมซิ!!!"

ไม่มีความคิดเห็น: